EP.147 รีวิว คอนโด แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา Chambers Cher Ratchada – Ramintra
สวัสดีค่ะผู้อ่านชาว CONDONAYOO ที่รักทุกคน วันนี้เราจะพามาชมโครงการ Chambers Cher รัชดา – รามอินทรา จาก SC ASSET กันค่ะ
ตัวโครงการ ตั้งอยู่บนถนนรัชดา – รามอินทรา แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. สามารถเดินทางได้สะดวกเชื่อมต่อถนนสายหลักได้อย่างง่ายดาย อยู่ใกล้ทั้งทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ และวงแหวนรอบนอกกาญจนาภิเษก อีกทั้งยังใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าวงแหวนตะวันออกในระยะ 5.0 กม.ซึ่งจะเปิดใช้งานในอนาคตอันใกล้นี้
สิ่งอำนวยความสะดวกรองรับการอยู่อาศัยให้เลือกช้อป เลือกชิล ทั้งแฟชั่นและความอร่อย
แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา เป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น มี 1 อาคาร บนพื้นที่โครงการขนาด 4-1-85.2 ไร่ คอนโดอารมณ์บ้าน สไลต์ Danish Modern ที่เน้นการออกแบบให้พื้นที่การใช้ชีวิตอบอุ่นเป็นกันเอง และกลมกลืนไปกับธรรมชาติ ด้วยห้องชุดพักอาศัย ที่มีหน้าห้องที่กว้างกว่า จำนวน 252 ยูนิต เป็นห้อง 1 Bedroom, 1 Bedroom Plus และ 2 Bedrooms ขนาดเริ่มต้นที่ 33 ตร.ม. ขายแบบ Fully Furnished ให้เฟอร์นิเจอร์ครบ พร้อมเครื่องปรับอากาศ เรียกว่าหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย ปัจจุบันตัวโครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้วค่ะ
สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน อาทิ Lobby, Mailbox, อาคาร Club House, Swimming Pool, Sunken Seat, Pool Deck, Garden, Fitness, ที่จอดรถ, Access Card Control, CCTV, รปภ. 24 ชม. ราคาเริ่มต้นที่ 2.29 ล้านบาท (ราคาเฉลี่ยเริ่มต้น 69,000 บาท/ตร.ม.)
ส่วนรายละเอียดของโครงการจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญติดตามอ่านที่ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
ชื่อโครงการ | แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา Chambers Cher Ratchada – Ramintra |
เจ้าของโครงการ | บริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด (มหาชน) SC ASSET |
เนื้อที่ทั้งหมด | 4-1-85.2 ไร่ |
จำนวนตึก | 2 อาคาร |
จำนวนชั้น | 8 ชั้น |
จำนวนห้อง | 252 ยูนิต |
ลักษณะห้องและขนาดห้อง |
|
ที่จอดรถทั้งหมด | 183 คัน (แบบไม่ Fix คัน) |
โซน | รัชดา – รามอินทรา |
ขนส่งสาธารณะ |
|
รถโดยสารที่ผ่าน |
|
ที่ตั้ง | ถนนรัชดา – รามอินทรา แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. |
กำหนดการ |
|
ปีที่สร้างเสร็จ | ธันวาคม ปี 2560 |
ราคา | เริ่มต้น 2.29 ล้านบาท |
ราคาเฉลี่ยต่อ ตร.ม | เริ่มต้น 69,000 บาท/ตร.ม. |
ค่าส่วนกลางและกองทุน |
|
สถานที่สำคัญใกล้เคียง | ห้างสรรพสินค้า และ ตลาด
ศูนย์การแพทย์
สถานศึกษา
ศาสนสถาน
สถานที่ราชการ และ หน่วยงานอื่นๆ
|
สิ่งอำนวยความสะดวก |
|
จุดเด่นของโครงการ | Chambers Cher รัชดา-รามอินทรา คอนโดอารมณ์บ้าน ที่เน้นความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิต และสภาพแวดล้อมภายในโครงการ ที่เน้นความร่มรื่นของต้นไม้ความเป็นธรรมชาติ เสมือนผู้อยู่อาศัยได้พักผ่อนอยู่ในสวนหลังบ้าน ในบรรยากาศที่คุ้นเคย |
:::: ที่ตั้งโครงการ ::::
ถนนรัชดา-รามอินทรา แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม.
พิกัด : 13.820183, 100.667194
แผนที่จากทางโครงการ
ทำเลที่ตั้ง โครงการ แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา ตั้งอยู่ในโซนชานเมืองบนถนนรัชดา – รามอินทรา โดยถนนเส้นนี้จะตัดจากถนนเกษตร – นวมินทร์เชื่อมไปยังถนนรามอินทราช่วงกม.8 ระหว่างแยก รพ.นพรัตน์ กับช่วงที่เส้นรามอินทราตัดกับวงแหวนกาญจนาภิเษก ในโซนนี้เป็นโซนของแหล่งที่พักอาศัย ตลอดสองฝั่งของถนนรัชดา – รามอินทราจะเป็นอาคารในแนวราบ พวกโครงการบ้านจัดสรร ทั้งบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม, คอนโดมิเนียม Low Rise และโฮมออฟฟิศ
การเดินทางด้วยรถยนต์ สำหรับย่านนี้การเดินทางด้วยรถส่วนตัวถือว่าสะดวกสบาย ดังที่กล่าวไปแล้วว่าตัวโครงการตั้งอยู่บนถนนรัชดา – รามอินทรา เป็นถนนที่เชื่อมระหว่างถนนเกษตร – นวมินทร์ และถนนรามอินทรา ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่ใช้เดินทางเข้าเมือง และทั้ง 2 เส้นนี้จะตัดกับถนนนวมินทร์ ที่สามารถใช้วิ่งลงไปเชื่อมกับถนนลาดพร้าวย่านบางกะปิเพื่อเข้าสู่ตัวเมืองได้อีก 1 เส้นทาง ตัวโครงการยังอยู่ใกล้กับทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ เป็นทางด่วนเส้นที่วิ่งเข้าเมืองได้สะดวกที่สุด แต่รถก็อาจจะเยอะหน่อย และตัวโครงการยังอยู่ใกล้กับวงแหวนรอบนอกกาญจนาภิเษก เป็นเส้นที่มีความคล่องตัวและสะดวกสำหรับท่านที่ปกติต้องเดินทางไปแถวบางนา – บางปะอิน
นอกจากนี้ จากทำเลในย่านนี้ยังสามารถเดินทางไปยังโซนนอกเมืองฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือและบริเวณใกล้เคียงอย่าง มีนบุรี, รามอินทรา, หลักสี่, เกษตร – นวมินทร์, ประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบทางด่วน) ได้สะดวก เป็นโซนที่น่าจะได้ไปบ่อยเพราะมีความอุดมสมบูรณ์รองรับอยู่
ทางด่วน ตัวโครงการอยู่ใกล้กับจุดขึ้น – ลงทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ในระยะ 5.7 กม. สามารถใช้วิ่งเข้าสู่ตัวเมืองและไปทางพระราม 9 หรือบางนาได้สะดวก โดยวิ่งจากถนนรัชดา – รามอินทราไปยังถนนเกษตร – นวมินทร์ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนคลองลำเจียก (ทางลัดช่วยให้เร็วขึ้น) เพื่อเข้าถนนประดิษฐ์มนูธรรมแล้ววิ่งขึ้นทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ได้เลย
และตัวโครงการยังอยู่ใกล้กับวงแหวนรอบนอกกาญจนาภิเษก โดยวิ่งจากถนนรัชดา – รามอินทราไปเข้าถนนรามอินทรา เพื่อวิ่งขึ้นวงแหวนกาญจนาภิเษกได้ในระยะ 6.1 กม. จะไปแถวบางนาหรือบางปะอินก็สะดวก
ความอุดมสมบูรณ์ บริเวณโดยรอบของตัวโครงการส่วนมากจะเป็นอาคารที่พักอาศัยในแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ มีความเงียบสงบซึ่งจะต่างออกไปจากคอนโดมิเนียมในตัวเมืองที่โดยรอบจะมีแต่ความคึกคักและรวดเร็ว การสัญจรด้วยระบบขนส่งสาธารณะมีความสะดวกและมีให้เลือกอย่างหลากหลาย เรียกว่าสามารถกินอยู่ใช้สอยด้วยระยะเดินเพียงเล็กน้อย
ย่านนี้จะตอบโจทย์สำหรับคนที่ชอบการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ง่ายๆแบบการอยู่คอนโดมิเนียม แต่ชอบความเงียบสงบไม่หนาแน่นอึกทึกเท่ากับคอนโดในตัวเมือง ความอุดมสมบูรณ์ในย่านนี้ก็นับว่ารองรับการอยู่อาศัยให้มีความสะดวกสบายพอสมควรเลย
ไปทางรามอินทราที่โดดเด่นเลยก็จะเป็นห้าง Fashion Island และข้างๆกัน The Promanade ซึ่งภายในก็จะมีทั้ง Shopping center, ห้าง Big C, ร้านอาหาร, โรงเรียนติวเตอร์, คลีนิกเสริมความงาม และ อื่นๆอย่างครบวงจร กลับมาอีกด้านบนถนนเกษตร – นวมินทร์ที่มีทั้ง Community mall, ตลาดนัดหัวมุม ตลาดนัดกลางคืนกับสินค้าในราคาย่อมเยา, ร้านอาหาร และร้านนั่งชิว มา Hangout กับเพื่อนๆได้ในยามค่ำคืน และถ้าไปทางเลียบด่วนรามอินทราก็จะมีทั้ง The Crystal, CDC, ห้างใหม่อย่างเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสวิลล์ รวมถึงร้านอาหารดีๆให้เลือกกันได้อีกเพียบ
นอกจากนี้ไม่ไกลจากตัวโครงการก็จะมี Tesco Lotus, Big C Market, Chocolate Ville, Max Value, โรงพยาบาล, สนามกอล์ฟ และสวนสยาม ตรงข้ามกับตัวโครงการเองก็จะมี The Junction เป็น Community mall ที่รวมร้านอาหารและร้านค้ามาไว้ด้วยกัน
การเดินทางด้วยรถสาธารณะ การเดินทางจากบริเวณทำเลโครงการจะพึ่งรถยนต์ส่วนตัวเป็นหลัก เพราะบนเส้นรัชดา – รามอินทรายังมีรถประจำทางผ่านไม่เยอะมากนัก ต้องเพิ่งรถแท็กซี่และวินมอเตอร์ไซค์ที่มีผ่านไปมาอยู่บ้าง แต่ภายในปี 2563 คาดว่ารถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย – มีนบุรีก็จะสร้างเสร็จได้เปิดใช้งาน โดยสถานีที่ใกล้ที่สุดก็จะเป็นสถานีวงแหวนตะวันออก ซึ่งจะช่วยให้การเดินทางสะดวกขึ้น และเป็นที่รู้ๆกันดีว่าเมื่อรถไฟฟ้าเข้าถึงเมื่อไหร่ ก็จะนำความเจริญและความอุดมสมบูรณ์มาสู่พื้นที่นั้นๆด้วย
:::: การเดินทางสู่โครงการ ::::
วันนี้ทางทีมงาน Homenayoo มีภาพการเดินทางไปสู่ตัวโครงการ แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา โดยใช้รถยนต์ส่วนตัวมาฝากกันค่ะ โดยเราจะเริ่มการเดินทางจาก
ทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ > ถนนประดิษฐ์มนูธรรม > ถนนเกษตร – นวมินทร์ > ถนนรัชดา – รามอินทรา > แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา
เราจะเริ่มต้นการเดินทางจากทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์มุ่งหน้าไปทางรามอินทรา สังเกตป้ายรามอินทรา (มีนบุรี) เอาไว้นะคะ ให้ชิดซ้ายเตรียมลงที่ทางออกหน้า
ชิดซ้ายลงจากทางด่วน
เมื่อลงจากทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์แล้วจะมาออกที่เส้นรามอินทรามุ่งหน้าไปยังหลักสี่ ให้สังเกตป้ายบางนาเอาไว้แล้วเตรียมชิดซ้าย
ชิดซ้ายแล้วเลี้ยวเข้าถนนประดิษฐ์มนูธรรมหรือเลียบทางด่วนรามอินทราไปเลยค่า
เมื่อเข้าถนนเลียบทางด่วนแล้ว ทางซ้ายมือจะมีจุดสังเกตเป็นตลาดนัดเลียบด่วน เป็นตลาดนัดขนาดใหญ่เปิดตอนกลางคืน มีสินค้าและอาหารมากมาย เป็นแหล่งช้อปปิ้งราคาย่อมเยาและเดินได้สนุกของคนในย่านนี้เลย
ตรงไปเรื่อยๆให้สังเกตป้ายถนนลาดพร้าวเอาไว้ ชิดซ้ายเอาไว้เลยค่ะ
ชิดซ้ายมุ่งหน้าไปออกถนนเกษตร – นวมินทร์
จากนั้นให้สังเกตป้ายนวมินทร์เอาไว้
ชิดซ้ายมุ่งหน้าไปออกถนนเกษตร – นวมินทร์เลย ถ้าขึ้นทางยกระดับไปจะไปถึงลาดพร้าว – พระราม 9
ชิดซ้ายเอาไว้แล้วเลี้ยวเข้าถนนเกษตร – นวมินทร์
เมื่อเข้าถนนเกษตร – นวมินทร์มาแล้วให้วิ่งตรงไปเรื่อยๆ ฝั่งซ้ายมือจะมีจุดสังเกตเป็น Mc Donald
สังเกตป้ายถนนนวลจันทร์และมีนบุรีเอาไว้นะ เราจะชิดซ้ายเลี้ยวเข้าถนนรัชดา – รามอินทรา
ชิดซ้ายวิ่งเข้าถนนรัชดา – รามอินทราไปเลยค่ะ
เมื่อเข้าถนนรัชดา – รามอินทรามาแล้วจะมาเจอแยกไฟแดงถนนนวลจันทร์ ให้วิ่งตรงต่อไปเรื่อยๆ
จากถนนเกษตร – นวมินทร์วิ่งตรงเข้าไปประมาณ 2.4 กม.ทางขวามือจะเป็นโครงการ แชมเบอร์ส รามอินทราอยู่ตรงข้ามกับป้ายรถเมล์พอดี
จากนั้นให้สังเกตป้ายถนนรามอินทรา (หลักสี่) เอาไว้ ทางขวามือจะเห็นรั้วโครงการ แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา แล้วค่ะ
เลยไปไม่ไกลฝั่งซ้ายมือจะมีจุดสังเกตเป็น The Junction ภายในมี 7 – 11 อยู่ด้วย จากตัวโครงการสามารถเดินข้ามสะพานลอยมาได้สะดวกทีเดียว
จากนั้นให้สังเกตป้ายถนนรามอินทรา (หลักสี่) เอาไว้แล้วชิดซ้ายเพื่อขึ้นทางกลับรถ
วิ่งชิดซ้ายเอาไว้นะคะ ถ้าขึ้นทางยกระดับทางขวาจะไปออกเส้นรามอินทราใกล้ห้าง Fashion Island และ The Promanade และสามารถวิ่งไปขึ้นวงแหวนกาญจนาภิเษกได้
จากนั้นให้ชิดขวาเพื่อกลับรถ
เมื่อกลับรถมาวิ่งอีกฝั่งฝุ่งหน้าไปยังถนนเกษตร – นวมินทร์แล้ว ทางซ้ายมือจะมีจุดสังเกตเป็นโครงการ Bangkok Boulevard Nawamin ทางเข้าโครงการ แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา จะอยู่ถัดไปเลยค่ะ
เรามาถึงโครงการ แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา กันแล้วค่าทุกคน
บริเวณทางเข้าโครงการแบบชัดๆ
สรุปแยก และ ถนนสำคัญรอบโครงการ
สถานที่สำคัญรอบโครงการ
ห้างสรรพสินค้า และ ตลาด
ศูนย์การแพทย์
สถานศึกษา
ศาสนสถาน
สถานที่ราชการ และ หน่วยงานอื่นๆ
:::: สภาพแวดล้อมรอบโครงการ ::::
บริเวณโดยรอบโครงการบนถนนรัชดา – รามอินทราจะเป็นโซนของที่อยู่อาศัยในแนวราบเกือบทั้งหมด มีโครงการบ้านจัดสรรทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม, โฮมออฟฟิศ, คอนโดมิเนียมแบบ Low rise, ร้านอาหาร, Max value, The Junction และที่ดินเปล่าบ้างประปราย
เดี๋ยวเราจะเดินสำรวจบริเวณใกล้เคียงกับตัวโครงการกันนะคะ จะได้รู้ว่ามีอะไรอยู่แถวนี้บ้าง 😉 เริ่มจากฝั่งตรงข้ามกับโครงการ จะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว Bangkok Boulevard รัชดา – รามอินทรา
มุมมองไปฝั่งซ้ายมือมุ่งหน้าไปทางเกษตร – นวมินทร์ เดี๋ยวเราจะเดินสำรวจเส้นทางนี้กันก่อน
บริเวณหน้าโครงการเลยก็จะมีป้ายรถเมล์ แต่ว่ารถประจำทางที่ผ่านอาจจะยังไม่เยอะเท่าไหร่นะ
ติดกับตัวโครงการเลยจะเป็นอาคารชุมชนเคหะสูง 5 ชั้น
ที่ฝั่งตรงข้ามจะเป็นโครงการ Vista Park Place
ถัดไปจะเป็น Work Place รัชดา – รามอินทรา 2 เป็นโฮมออฟฟิศสูง 4 ชั้นครึ่ง
มองเข้าไปภายในตัวตึกมีลูกเล่นของ Facade เป็นสี Pastel สลับสีกันไปมา ดูน่ารักดี
เดินเลยไปอีกจะเป็นคอนโดแชมเบอร์ส รามอินทราสูง 7 ชั้น เป็นพี่น้องกันกับโครงการของเราในวันนี้
ฝั่งตรงข้ามก็จะเป็น Work Place อีกโครงการนึง
มุ่งตรงไปข้างหน้าก็จะเป็นถนนเกษตร – นวมินทร์ที่เราเพิ่งจะเดินทางกันเข้ามาค่ะ
กลับมาที่หน้าโครงการไปสำรวจเส้นทางฝั่งขวามือกันบ้าง
ตรงข้ามกับตัวโครงการเยื้องไปทางขวามือคือ The Junction เป็น Community mall ที่ใกล้กับตัวโครงการมากที่สุด ภายในมีร้านค้าและร้านอาหารมากมาย รวมถึงร้านสะดวกซื้ออย่าง 7 – 11 ด้วย จากหน้าโครงการสามารถเดินข้ามสะพานลอยไปได้สะดวกด้วยระยะเดินเพียง 300 เมตรเท่านั้น
ข้างๆกับตัวโครงการเลยจะเป็นซุ้มทางเข้าโครงการบ้านเดี่ยว Bangkok Boulevard Nawamin
มุ่งตรงไปข้างหน้าจะเป็นถนนรามอินทรา จะมีสะพานลอยสามารถใช้เดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้ อย่าเดินข้ามถนนเองเลยนะคะ อันตรายจริงๆ
มาดูภาพมุมสูงกันบ้าง บริเวณโดยรอบโครงการส่วนมากจะเป็นโครงการบ้านพักอาศัยในแนวราบ ทางทิศเหนือของโครงการจะติดกับถนนรัชดา – รามอินทราซึ่งเป็นทางเข้า – ออกเดียวของโครงการ
มุมมองไปทางฝั่งทิศใต้ ด้านหลังตัวโครงการไปส่วนมากจะเป็นบ้านพักอาศัยสูงไม่เกิน 2 ชั้น แทบทุกด้านของโครงการจะสามารถ Take view ได้ ยกเว้นทางฝั่งตะวันตกที่ติดกับอาคารชุมชนเคหะซึ่งสูงขึ้นมาถึง 5 ชั้น
มุมมองไปทางทิศเหนือก็จะเป็นบ้านพักอาศัยในแนวราบไปอีกไกลเลย
:::: ตัวโครงการ ::::
โครงการ แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา เป็นคอนโดมิเนียม Low rise สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร มีทั้งหมด 252 ยูนิตบนพื้นที่ 4 ไร่เศษ ตัวโครงการเป็นคอนโดสไตล์ Danish Modern หรือสไตล์โมเดิร์นแบบ Minimalist จากทางเดนมาร์ก ภายใต้แนวคิดคอนโดอารมณ์บ้าน ด้วยหน้าห้องที่กว้างกว่าทำให้สามารถจัดพื้นที่ภายในห้องได้ลงตัวมากขึ้น พร้อมสวนส่วนกลางที่ร่มรื่นด้วยพรรณไม้ตามฤดูกาลนานาชนิด ให้ความรู้สึกเหมือนกับสวนหลังบ้าน
มาดูในส่วนของตัวโมเดลของโครงการกันค่ะ ตัวอาคารทั้ง 2 ของโครงการจะถูกวางขนานกับแกนทิศตะวันออก – ตะวันตก
มุมมองที่ฝั่งทิศเหนือของโครงการ ทางซ้ายมือคืออาคาร A ซึ่งจะซ้อนอยู่ด้านหลังอาคาร B ทางขวามือ ด้านนี้จะมีข้อดีหลักๆตรงที่ไม่โดนแดดในช่วงบ่ายมากนัก ซึ่งภายในห้องก็จะค่อนข้างเย็นเมื่อเทียบกับด้านอื่นๆ แต่ระเบียงของห้องจะหันหน้าเข้าหาถนนรัชดา -รามอินทรา แม้ว่าถนนเส้นนี้จะไม่ใช้ถนนสายหลัก รถสัญจรไปมาไม่เยอะมากแต่ก็จะได้รับฝุ่นควันและมลพิษทางเสียงบ้างเล็กน้อย
ด้านทิศตะวันออกของโครงการก็เป็นด้านที่ดีอีกด้านหนึ่งเลยเพราะไม่โดนแดดในช่วงบ่ายตรงๆ อีกทั้งยังเป็นด้านอยู่ติดกับที่ดินเปล่า ซึ่งในอนาคตจะถูกสร้างเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ยูนิตชั้นล่างๆก็จะยังพอมีความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบอยู่ค่ะ
ด้านทิศใต้ของโครงการจะเป็นด้านที่โดนแดดตอนบ่ายแบบจังๆ แต่ตัวอาคารถูกวางไว้ให้เบนไปทางทิศตะวันออกหน่อยๆจึงช่วยให้หลบแดดได้บ้าง ถ้าใครที่เครซี่เรื่องการตากผ้าให้แห้งสนิทและชอบกลิ่นหอมอ่อนๆของแดดก็คงจะพอใจอยู่ค่ะ ด้านนี้มีข้อดีตรงที่เป็นด้านที่เงียบสงบ เพราะด้านหลังโครงการจะเป็นบ้านพักอาศัยสูงไม่เกิน 2 ชั้นเกือบทั้งหมด อีกทั้งต้นไม้ที่ปลูกริมรั้วรอบๆโครงการก็จะช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวให้ยูนิตชั้นล่างๆได้ด้วย
ด้านทิศตะวันตกของโครงการก็จะเป็นด้านที่โดนแดดช่วงบ่ายแบบจังๆเช่นกัน แต่เนื่องจากอยู่ติดกับอาคารชุมชนเคหะซึ่งสูง 5 ชั้น จึงอาจจะมี Shade จากอาคารข้างเคียงนี้มาช่วยบังแดดได้บ้าง แต่วิวในด้านนี้ก็คงไม่ดีเท่าด้านอื่นนะ
มาดูโมเดลในมุมสูงกันบ้าง จะเห็นว่าอาคาร A และอาคาร B ถูกออกแบบมาคล้ายรูปตัว L วางเหลื่อมกันอยู่ ซึ่งระเบียงห้องที่หันมาชนกันนั้นจะมีเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น การวางแบบนี้มีข้อดีตรงที่มีช่องให้ลมสามารถ Flow ผ่านไปได้ Shade ของแต่ละอาคารไม่มาทับกันจนทำให้ยูนิตภายในมืดทึบ แสงสว่างสามารถเข้าถึงได้ทุกยูนิต พื้นที่ว่างระหว่างอาคารถูกจัดให้เป็นสระว่ายน้ำ, Sunken seating และสวนส่วนกลาง สามารถเป็นวิวให้กับยูนิตภายในได้ด้วย ส่วนกลางที่ถูกล้อมด้วยตึกจะสามารถใช้งานได้เกือบจะตลอดเวลาเพราะมีเงาของตึกเป็น Shade ให้สามารถนั่งเล่นหรือว่ายน้ำได้อย่างเย็นสบาย แต่ช่วงหน้าหนาวน้ำก็คงจะเย็นไปเพราะไม่โดนแดด ก็อาจจะลงเล่นกันไม่ไหว (ซึ่งมีด้วยหรือหน้าหนาวในเมืองไทย 5555)
จากแต่ละอาคารจะมี Cover way เดินมาถึงคลับเฮ้าส์ได้ ถ้าฝนตกก็ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ต้นไม้ภายในสวนจะเป็นต้นไม้ตามฤดูกาล หลักๆก็จะมีต้นกัลปพฤกษ์ปลูกไว้ที่รอบๆโครงการ และต้นทองกวาวที่อยู่ใจกลางสวน
มาดูในส่วนของ Plan อาคารกันบ้าง ทางเข้า – ออกของตัวโครงการจะมีเพียงทางออกเดียวบนถนนรัชดา – รามอินทราโดยถูกวางอยู่บริเวณริมฝั่งซ้ายของไซท์ เส้นทางการเดินรถจะวนขวาตามเข็มนาฬิกาเข้าไปแล้วกลับออกมาที่ทางเข้า – ออกเดิม
ที่ชั้น G จะเป็นที่จอดรถทั้งแบบกลางแจ้งและใต้อาคารรวมทั้งหมด 183 ช่อง คิดเป็น 72.5% ของห้องพักอาศัย นับว่าให้มาค่อนข้างเยอะทีเดียว น่าจะเพียงพอต่อความต้องการ และส่วนมากก็คงจะต้องเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวกันอยู่แล้ว ดังที่กล่าวไปแล้วว่าพื้นที่ระหว่างตึก A และ B ก็จะเป็นส่วนกลางของโครงการ ทั้งสระว่ายน้ำ, Sunken seating ในบ่อบัว, สวนพักผ่อน และคลับเฮ้าส์ ที่ชั้นล่างของคลับเฮ้าส์จะเป็น Lobby ที่ลูกบ้านสามารถมานั่งเล่นหรืออ่านหนังสือได้ เยื้องไปทางฝั่งขวาของคลับเฮ้าส์ก็จะเป็นห้องน้ำและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของสระว่ายน้ำ
ขึ้นมาที่ชั้น 2 จะเป็นห้องพักอาศัย ทั้ง 2 อาคารจะมีจำนวนห้องพักอยู่เท่าๆกัน ใน 1 ชั้นจะมีทั้งหมด 18 ห้องและลิฟท์โดยสารอีก 2 ตัว คิดเป็นอัตราส่วนของห้องพักอาศัยทั้งหมดต่อลิฟท์อยู่ที่ 63 : 1 นับว่าให้มาเพียงพอแล้ว เพราะโครงการเป็นคอนโดแบบ Low rise ด้วยจำนวนชั้นที่ไม่สูงมากทำให้ไม่ต้องยืนรอลิฟท์นาน ส่วนที่ชั้น 2 ของคลับเฮ้าส์จะเป็น Fitness ซึ่งเป็นผนังกระจก สามารถ Take view จากสวนส่วนกลางได้เช่นกัน
ชั้น 3 ของโครงการก็จะไม่ต่างอะไรจากผังชั้น 2 ส่วนคลับเฮ้าส์ก็จะเป็นชั้นดาดฟ้า
ชั้น 4 – 7
ชั้น 8
:::: UNIT TYPE ::::
ห้องของโครงการจะมีอยู่ทั้งหมด 4 แบบด้วยกันได้แก่
จุดเด่นของโครงการนี้คือมีหน้าห้องที่กว้างขวาง ทำให้การจัดห้องลงตัวมากขึ้นและได้ช่องแสงเพิ่มขึ้นด้วย ห้องจึงดูโปร่งโล่งและระบายอากาศได้ดี ทางโครงการขายห้องแบบ Fully Furnished เฟอร์นิเจอร์ของ SB Furniture จากการออกแบบของ SC Asset เรียกได้ว่าแค่ขนเสื้อผ้ามาก็เข้าอยู่ได้เลย เดี๋ยวเราจะไปดูผังพื้นของห้องแต่ละ Type กันเลย
1 Bedroom (Type 1 A) : ขนาด 33.00 ตรม. หน้ากว้าง 5.5 เมตร
1 Bedroom Plus (Type 1 B) : ขนาด 43.00 ตรม. หน้ากว้าง 7.5 เมตร
1 Bedroom Plus (Type 1 BJ) : ขนาด 43.00 ตรม. หน้ากว้าง 7.5 เมตร
2 Bedrooms (Type 2 A) : ขนาด 58.00 ตรม. หน้ากว้าง 10.5 เมตร
:::: บริเวณภายในโครงการ ::::
::: ซุ้มทางเข้าโครงการ :::
เราได้ชมรายละเอียดของโครงการกันไปบ้างแล้ว คราวนี้เราจะพาท่านผู้อ่านไปชมบรรยากาศจริงของโครงการกันบ้าง
การเข้า-ออกตัวโครงการนั้นจะต้องผ่านระบบรักษาความปลอดภัย นั่นก็คือ ป้อมรปภ.เป็นจุดตรวจ มีรั้วเลื่อนอัตโนมัติระบบ Access Card และ กล้อง CCTV
กล้อง CCTV
รั้วเลื่อนค่ะ ปกติจะเปิดด้วยระบบ Access Card
ภาพมองย้อนกลับไปที่ซุ้มทางเข้าโครงการ
::: บริเวณภายในโครงการ :::
จากซุ้มทางเข้า พอเข้ามาภายในโครงการแล้วก็จะมีทางแจกออกไปทั้ง 2 ฝั่ง ถ้าจะเข้าอาคารจอดรถก็ให้เลี้ยวซ้ายวนไปตามเข็มนาฬิกา แต่ถ้าจะติดต่อสำนักงานขาย ให้เราเลี้ยวขวานะ
รูปร่างหน้าตาอาคารด้านหน้า
เดี๋ยวเราจะวนเข้าไปดูอาคารจอดรถกันก่อนค่ะ ตรงนี้เราต้องผ่านรั้วไม้กระดกอีกชั้นด้วยระบบ Access Card เหมือนเดิม
เครื่องจับสัญญาณ Key Card ค่ะ
ในส่วนของอาคารจอดรถ จะอยู่ที่ชั้น G เป็นพื้นที่ใต้อาคารทั้งหมด
สามารถจอดรถได้ทั้ง 2 ฝั่งแบบนี้ ที่จอดรถมีทั้งหมด 183 ช่อง คิดเป็น 72.5% ของห้องพักอาศัย นับว่าให้มาค่อนข้างเยอะทีเดียวนะ หายากแล้วเดี๋ยวนี้ที่จะให้เยอะเท่านี้ค่ะ จากที่จอดรถก็จะมีประตูเชื่อมสู่ทางเดินเพื่อเข้าตัวอาคาร
พื้นที่จอดมอเตอร์ไซค์ และพื้นที่จอดกลางแจ้งระหว่างอาคาร
วนตามเข็มนาฬิกา เราก็จะกลับไปที่ทางเข้า-ออกเดิมค่ะ
เราจะวนออกมาเจอ Clubhouse ทางด้านขวามือค่ะ
Clubhouse and Facilities
หน้าตาของคลับเฮ้าส์จะเป็นสไตล์ Modern มีการเฉือนระแนงที่เป็น Facade บริเวณประตูทางเข้าออกให้มีรูปทรงคล้ายกับบ้าน แต่ก็ไม่ทิ้งความเป็น Modern โดยเล่นให้รูปทรงดูไม่ Symmetry กัน ส่วนสีที่ใช้ก็จะเป็นสีออกโทนน้ำตาลให้ความรู้สึกอบอุ่นแต่ก็ดูหรูหราด้วยความเงาของตัววัสดุ
เราเข้าไปดูภายในด้วยกันเลยค่ะ
เข้ามาภายในคลับเฮ้าส์ ส่วนแรกที่เจอเลยจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นสำนักงานขายด้วยค่ะ
เคาน์เตอร์ด้านในสุดจะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายนั่งประจำอยู่ คอยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวโครงการ และพาชมห้องตัวอย่างค่ะ
การจัดเฟอร์นิเจอร์รวมกับแสงที่ลอดผ่านระแนงและช่องแสงเข้ามาทำให้ได้บรรยากาศแบบสบายๆ น่านั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ
ส่วนของผนังกระจกฝั่งซ้ายที่เห็น สามารถเปิดได้ทั้งหมด เพื่อเชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำได้ด้วยนะคะ
จากโถงนั่งเล่นจะมีบันไดทางขึ้นไปสู่ฟิตเนสที่ชั้น 2
จากชานพักบันไดมองขึ้นไปที่ชั้น 2
ขึ้นมาที่ชั้น 2 กันแล้ว พื้นที่ทั้งชั้นจะเป็นฟิตเนสทั้งหมดค่ะ
ภายในฟิตเนส เน้นวัสดุไม้เป็นหลัก ดูอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ภายในมีเครื่องออกกำลังอย่างครบครัน
ฝั่งริมกระจกจะได้วิวสวนและสระว่ายน้ำด้วย มีลู่วิ่งไฟฟ้า และเครื่องเดินวงรีให้
ส่วนอีกฝั่งมีเครื่องออกกำลังกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ และจักรยานไฟฟ้า
บริเวณริมกระจกเงาด้านใน จะมีชุดดัมเบล และม้านั่งราบเตรียมเอาไว้ให้
ภาพมองย้อนกลับจากภายในห้อง
ข้างๆประตูทางเข้าได้จัดเก้าอี้เอาไว้ให้ สำหรับนั่งพักคอยค่ะ
เราออกไปดูสระว่ายน้ำ และ Sunken seat ข้างนอกกันต่อค่ะ โดยรอบได้จัดแลนสเคปเอาไว้อย่างสวยงามทีเดียว
จุดแรกเป็น Sunken seat ล้อมรอบด้วยสระบัว
ระดับพื้นด้านในจะอยู่ต่ำลงไป
วิวระดับสายตาที่เห็นก็จะสูงขึ้นมาจากสระบัวเล็กน้อย ได้อีกบรรยากาศ
มองย้อนกลับไป จะเห็นผนังกระจกของคลับเฮ้าส์ ที่สามารถเปิดเชื่อมกับสระว่ายน้ำค่ะ
คราวนี้เราเดินไปดูที่สระว่ายน้ำกันต่อ
ข้างๆสระจะมี Pool Deck ตั้ง Daybed ให้นอนพักผ่อนอาบแดด
ข้างๆมี Shower สำหรับล้างตัวก่อนลงสระ
สระว่ายน้ำมีแบ่งเป็นสระเด็ก และสระผู้ใหญ่ค่ะ เป็นสระระบบเกลือ โดยรวมสระมีขนาด 27 x 6.5 เมตร มีขนาดใหญ่มากๆ สามารถว่ายออกกำลังกายได้สบายๆเลย
สระเด็กลึก 0.6 เมตร
สระผู้ใหญ่ลึก 1.2 เมตร มีบันไดเดินลงสระเป็นขั้นๆ ลงไป
มองจากอีกฟากของสระย้อนกลับไป
เรามาดูห้องน้ำกันต่อ ทางเข้าจะอยู่เลยจากจุดล้างตัวลงสระเล็กน้อย
จะมีโถงแบ่งห้องฝั่งชาย-หญิง
มองเข้าไปภายในห้องน้ำ
จุดแรกเป็นอ่างล้างมือ มีให้ 2 อ่าง
เข้าไปด้านในฝั่งซ้ายเป็นห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ ส่วนฝั่งขวามือคือตู้ล็อกเกอร์
ตู้ล็อกเกอร์ค่ะ
ภายในห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ
เรากลับเข้ามาภายในคลับเฮ้าส์ จะมีประตูออกไปที่ทางเดินเชื่อมสู่อาคาร A และ B ค่ะ ที่ฝั่งซ้ายนี้จะเชื่อมสู่อาคาร A
การเข้า-ออกจะต้องใช้ Key Card ด้วยนะคะ
ออกมาจะเป็นทางเดินมีหลังคาคลุมแบบนี้ค่ะ 2 ข้างทางจัดสวนเอาไว้อย่างร่มรื่นสวยงาม
บรรยากาศโดยรอบดีจริงๆ
จากทางเดินตรงนี้ สามารถเดินเชื่อมสู่สระว่ายน้ำได้เช่นกันค่ะ
ฝั่งซ้ายมือข้างหน้านี้คือทางเข้าโถงลิฟท์ของอาคาร A ค่ะ เราจะต้องใช้ Key Card ในการเปิดประตูเข้าไป
เข้ามาจะเจอโถงชั้นแรก เชื่อมสู่โถงลิฟท์ และห้องจดหมาย
ภายในห้องจดหมายค่ะ
ภายในโถงลิฟท์ มีลิฟท์โดยสารให้อาคารละ 2 ตัว ตกแต่งให้ดูสวยงาม และอบอุ่นด้วยวัสดุไม้
ภายในลิฟท์โดยสาร ใช้ของ Hitachi สามารถรองรับได้ประมาณ 11 คนต่อเที่ยว
ขึ้นมาสู่โถงลิฟท์ชั้นพักอาศัย การตกแต่งจะเรียบมากขึ้น เพื่อนำเข้าสู่ตัวห้อง
ภายในโถงทางเดินก็สว่างดีค่ะ โถงกว้างประมาณ 1.4 เมตร กำลังดี
ตามจุดต่างๆของโถงจะมีบันไดหนีไฟให้ตามกฎหมาย
ภายในบันไดหนีไฟค่ะ
กลับมาที่คลับเฮ้าส์ จะมีประตูฝั่งขวา สามารถเดินเชื่อมสู่อาคาร B
จะมีโถงทางเดินมีหลังคาคลุมเชื่อมสู่ตัวอาคาร
ใต้อาคาร B จะเป็นจุดที่มีออฟฟิศของช่าง และนิติบุคคล
ฝั่งซ้ายที่เราเห็นอยู่คือห้องนิติบุคคลค่ะ ตรงกลางคือห้องจดหมาย และฝั่งขวาคือโถงลิฟท์
ภายในห้องจดหมาย
ทางเข้าโถงลิฟท์ ใช้ Key card ในการผ่านเข้า
ภายในโถงลิฟท์ ตกแต่งเหมือนอาคาร A มีลิฟท์โดยสาร 2 ตัวเหมือนเดิม
::: ห้องตัวอย่าง :::
วันนี้เราจะพาไปชมห้องตัวอย่างทั้งหมด 2 แบบด้วยกัน ลำดับเป็น 2 Bedrooms (Type 2A) และ 1 Bedroom Plus (Type 1 BJ) โดยห้องของทางโครงการจะขายแบบ Fully Furnished ได้เฟอร์นิเจอร์มาครบของ SB Furniture ภายใต้การออกแบบของ SC Asset มาดูรายละเอียดแบบเจาะลึกของห้องกันเลย
แบบ 2 Bedrooms (Type 2A)
เริ่มต้นที่ห้องที่ใหญ่ที่สุดของโครงการ คือห้อง 2 Bedrooms (Type 2A) ขนาด 58 ตรม. หน้ากว้างถึง 10.5 เมตร เมื่อเข้ามาภายในห้องที่ฝั่งขวาจะเป็นตู้เก็บของขนาดใหญ่ โถงกลางของห้องเป็นตัวแจกไปฝั่งซ้ายและขวา โดยพื้นที่รับประทานอาหารจะสามารถวางโต๊ะกินข้าวได้ถึง 4 ที่นั่ง ห้องครัวที่ได้จะเป็นครัวแบบปิด ช่วยกันกลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง เคาน์เตอร์ครัวถูกจัดให้เป็นรูปตัว L เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการปรุงอาหารให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น ห้องนอนเล็กสามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์หลักได้อย่างครบถ้วน และได้หน้าต่างภายในห้องด้วย ส่วนห้องนอน Master bedroom ก็จะมีขนาดที่กว้างขวางขึ้น จนสามารถวางเตียงนอนขนาด 6 ฟุตได้เลย
เริ่มจากประตูทางเข้าห้องจะปิดผิวด้วยเมลามีนลายไม้ ที่บานมีตาแมวสามารถส่องดูคนที่ยืนอยู่หน้าห้องได้
พร้อมอุปกรณ์มือจับประตูแบบก้านโยกมาตรฐาน
ที่พื้นห้องทำธรณีประตูสูงขึ้นมาจบงานระหว่าง Finishing พื้นภายในห้อง และพื้นบริเวณโถงทางเดินเรียบร้อย
มุมมองเข้าไปภายในห้องจะเห็นเลยว่าห้องดูโปร่งโล่งและกว้างขวาง ที่ฝั่งขวาจะเป็นพื้นที่รับประทานอาหาร ส่วนที่ฝั่งซ้ายจะเป็นตู้เก็บของ ตรงเข้าไปกลางโถงด้านในคือห้องนั่งเล่นค่ะ พื้นของห้องจะปูด้วยลามิเนตลายไม้ ส่วนผนังจะเป็นผนังฉาบเรียบทาสี
ฝ้าเพดานภายในห้องจะเป็นฝ้าฉาบเรียบสูง 2.5 เมตร สูงกว่า Chambers ตัวเก่าๆประมาณ 10 ซม. ดวงโคมทั้งหมดเป็นดวงโคมดาวน์ไลท์กล่องสี่เหลี่ยม
มองย้อนกลับไปที่ประตูทางเข้าห้อง จะติด Door stopper กันประตูกระแทกผนังเอาไว้ให้ด้วย แต่ต้องระวังอย่าเดินเตะเอานะ ฝั่งขวามือของประตูเราจะเห็นตู้เก็บของ 2 ตู้ค่ะ
ตู้แรกมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่เลย สามารถเอาจักรยานเข้ามาเก็บได้เลยนะ ภายในห้องก็จะเป็นจุดซ่อนของตู้ Load center ทำให้ห้องดูเรียบร้อย ตัวบานเปิดของ Built – in ภายในห้องจะเป็นแบบ Soft – closed ทั้งหมดเพื่อกันการกระแทกของตัวบาน
มือจับตู้เก็บของเป็นแบบนี้ค่ะ
ภายในตู้ติดดวงโคมดาวน์ไลท์มาให้ด้วย
ตู้ Load center ใช้ของ Schneider Electric
ส่วนอีกตู้จะทำเป็นหลายๆชั้น ใช้เก็บของที่ต้องการหยิบใช้ได้สะดวก
มองกลับไปดูพื้นที่ห้องทานอาหาร
ขนาดพื้นที่ตรงนี้จะสามารถวางโต๊ะอาหารขนาด 4 ที่นั่งได้เลย
เฟอร์นิเจอร์ที่ได้มากับตัวห้องก็ตามนี้เลยค่ะ มีโต๊ะกินข้าว 1 ตัว, เก้าอี้ 2 ตัว และโซฟาแบบ Built – in พร้อมเบาะนั่ง
มุมมองไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งจะติดอยู่กับระเบียงห้อง ห้องกว้างถึง 3 เมตร มีระยะจากชั้นวางทีวีถึงโซฟาประมาณ 1.75 เมตร ซึ่งเหมาะกับการดูทีวีจอขนาด 47 – 50 นิ้ว ถ้าติดทีวีแบบแขวนผนังก็จะสามารถดูทีวีขนาดจอที่ใหญ่กว่านี้อีกได้นิดหน่อยค่ะ
ชุดโซฟาขนาด 2 ที่นั่ง และโต๊ะกาแฟนี้ก็จะได้มากับห้องด้วยค่ะ
มองไปที่ฝั่งชั้นวางทีวี ผนังเหนือทีวียังสามารถทำชั้น Built – in เพิ่มเองเพื่อวางของได้อีก
ชั้นวางทีวีตัวนี้ก็ได้มากับห้องด้วยเช่นกัน ตัวตู้เป็นบานเลื่อนสามารถเลื่อนเปิดได้ 2 ด้าน
มาดูในส่วนของระเบียงกันต่อ ประตูจะเป็นบานเลื่อนเปิดคู่ กรอบอลูมิเนียม ติดกระจกเขียวตัดแสง มือจับแบบเซาะร่องมาตรฐาน สามารถเลื่อนเปิดได้ตามภาพ
มือจับบานประตูค่ะ
เปิดออกไปที่ระเบียงมีความกว้างประมาณ 0.5 เมตร พื้นระเบียงลดระดับจากพื้นห้องเล็กน้อย พอจะออกไปยืนรับลมได้ หรือระเบียงนี้อาจจะกลายเป็นราวตากผ้าไปในตัวเลยก็ได้นะ ใช้งานให้คุ้ม
ระเบียงห้องนั่งเล่น จะเชื่อมกับระเบียงของห้องครัวด้วยค่ะ
ภาพมองย้อนกลับเข้ามาภายในห้อง
มาดูในส่วนของห้องครัวกันต่อ ประตูห้องครัวจะอยู่ฝั่งซ้ายของห้องค่ะ
ห้องครัวจะเป็นครัวแบบปิด มีประตูบานเลื่อนกระจกลูกฟูกกั้นระหว่างห้อง
พื้นภายในห้องครัวปูด้วยกระเบื้องขนาด 60 x 60 ซม.สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย
มุมมองเข้าไปภายในห้องครัว ผนังของห้องครัวก็จะเป็นผนังฉาบเรียบทาสีนะ ดังนั้นบริเวณผนังหลังเคาน์เตอร์แนะนำให้กรุกระเบื้องหรือติดแผ่น Splash board จะได้สามารถเช็ดล้างคราบน้ำและคราบเขม่าควันออกได้ง่ายๆ
มองจากอีกฝั่งย้อนกลับมาค่ะ จะเห็นว่าเคาน์เตอร์ครัวเป็นแบบ L shape ความกว้างทางเดินเหลืออยู่ประมาณ 0.8 เมตรซึ่งคนไซท์เอเชียก็ยังสามารถเดินผ่านได้สะดวกนะ
ในส่วนปลายตัว L จะเป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับเตรียมอาหารได้ ใต้เคาน์เตอร์จะเป็นพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้าแต่จะสามารถวางได้เฉพาะเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าเท่านั้น
ใต้ตัวเคาน์เตอร์ที่ได้ก็จะมีช่องเก็บของให้ตามภาพเลยค่ะ มีทั้งช่องสำหรับวางไมโครเวฟและเตาอบขนาดเล็กๆ, ช่องสำหรับใส่ช้อนส้อมและจานชาม และช่องเก็บของขนาดใหญ่ใต้อ่างล้างจาน
ท็อปเคาน์เตอร์เป็นหินแกรนิตสีดำอีเดีย ได้มาพร้อมกับ Hob&Hood และ อ่างล้างจาน
เตาเซรามิคขนาด 2 หัว ของ MEX
พร้อม Hood ดูดอากาศ
อ่างล้างจานแบบหลุมฝังเคาน์เตอร์มีขนาดกระทัดรัดค่ะ ใช้ของ MEX เช่นกัน
พร้อมก๊อกล้างจานทรงสูง สามารถหมุนซ้าย-ขวาได้
ส่วนชั้นลอยเหนือเคาน์เตอร์ก็สามารถเก็บของได้เยอะอยู่ พวก Built – in ภายในห้องครัวทั้งหมดก็จะเป็นบานเปิดแบบ Soft closed ด้วยเช่นกัน
ส่วนที่ติดประตูระเบียงจะเว้นพื้นที่เอาไว้ให้สามารถวางตู้เย็นได้พอดี ประตูระเบียงจะเป็นประตูบานเลื่อนแบบ 3 ตอน สามารถเลื่อนเปิดได้ตามภาพ เหมาะสำหรับพื้นที่ๆแคบหน่อยเพราะจะสามารถเปิดประตูได้กว้างขึ้นเมื่อเทียบกับประตูแบบ 2 ตอน
ที่พื้นระเบียงจะลดระดับลงจากพื้นห้องครัวเล็กน้อย ปูด้วยกระเบื้องเซรามิคขนาด 30 x 30 ซม. มีพื้นที่กว้างประมาณ 1 เมตร
นอกจากจะเป็นพื้นที่สำหรับตากผ้าแล้วก็จะเป็นพื้นที่สำหรับวาง Compressor แอร์ของห้องด้วย ซึ่งห้อง 2 Bedrooms จะได้แอร์มาทั้งหมด 3 ตัวโดยตัว Compressor จะถูกแขวนขึ้นไปตามผนัง
ภาพมองจากห้องครัวกลับออกมาที่โถงส่วนกลางของบ้าน ตรงกลางระหว่างห้องนั่งเล่น และโต๊ะทานข้าว ก็คือโถงห้องนอนค่ะ
ส่วนโถงจะเชื่อมไปสู่ ห้องนอนเล็กฝั่งซ้าย ห้องนอนใหญ่ตรงกลาง และห้องน้ำฝั่งขวามือ
เริ่มจากห้องน้ำก่อนค่ะ ประตูห้องน้ำจะใช้เป็นบาน UPVC
มือจับแบบก้านโยกมาตรฐาน
พื้นห้องน้ำจะทำธรณียกขึ้นมากันไม่ให้น้ำไหลย้อน
ภายในห้องน้ำ พื้นห้องน้ำปูด้วยกระเบื้องขนาด 60 x 60 ซม.แบบผิวด้าน ผนังก็กรุด้วยกระเบื้องขนาด 60 x 60 ซม. เช่นกัน
ที่ฝั่งขวาของห้องจะวางอ่างล้างมือ และโถสุขภัณฑ์ พร้อมติดกระจกเงาเต็มบานมาให้ตามภาพ ระยะผนังกว้างประมาณ 1.5 เมตร
อ้างล้างมือจะเป็นแบบฝังเคาน์เตอร์สำเร็จรูปของ Mogen มีช่องให้เก็บของหรืออุปกรณ์สำหรับล้างห้องน้ำได้ ตรงนี้จะเป็นจุดเดียวที่ไม่ใช่บานเปิดแบบ Soft closed นะ
อ่างล้างมือทรงสี่เหลี่ยม ขนาดกำลังพอดี มีพื้นที่ให้วางขวดสบู่และแปรงสีฟันได้เล็กน้อย
ก็อกน้ำล้างมือรูปทรงและขนาดจับได้ถนัดมือ ของ American Standard
ข้างๆอ่างล้างมือจะติดปลั๊กไฟแบบมีฝาครอบกันน้ำมาให้ เผื่อไว้สำหรับเสียบไดร์เป่าผมหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดอื่นๆ ของ Siemens ค่ะ
ถัดเข้ามาจะเป็นโถสุขภัณฑ์แบบแยกชิ้นของ American Standard ระบบ Dual flush สามารถเลือกปริมาณและความแรงของน้ำได้ แต่ความกว้างของพื้นที่นั่งแอบแคบไปนิดนึง ถ้าเป็นคนตัวใหญ่ๆอาจจะนั่งไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่
ติดตั้งมาให้คู่กับสายฉีดชำระ
และที่ใส่กระดาษชำระของ VRH
หันมาที่ฝั่งซ้ายของห้องน้ำจะเป็นโซน Shower ลติดฉากกระจกกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัยมาให้เรียบร้อย
มือจับบานประตูเป็นปุ่มกลมๆ
มีราวแขวนผ้าเช็ดตัวให้ข้างๆ
ภายในโซน Shower จะมีพื้นที่ยืนอาบน้ำค่อนข้างกระทัดรัดกว้างประมาณ 1.0 x 0.7 เมตร ที่พื้นทำเป็นธรณีประตูสูงขึ้นมากั้นระหว่างส่วนเปียกและส่วนแห้ง
ในโซน Shower จะมีชุดฝักบัวอาบน้ำแบบสายอ่อนไม่มีราวปรับระดับของ American standard ส่วนที่วางสบู่จะเจาะช่องที่ผนังเข้าไปแทน สามารถวางอุปกรณ์ในการอาบน้ำได้อย่างเพียงพอเลย
หัวฝักบัวของ American standard มีขนาดพอดีมือใหญ่กำลังดี
ส่วนฝ้าภายในห้องน้ำ เป็นฝ้าฉาบเรียบกันความชื้น ดวงโคมดาวน์ไลท์กล่องสี่เหลี่ยม พร้อมติดพัดลมดูดอากาศมาให้
เราเข้าไปดูห้องนอนเล็กกันต่อ ประตูห้องนอนใช้เป็นบาน HDF ค่ะ
ในห้องนอนเล็กมีขนาดประมาณ 2.7 x 3.0 เมตร ข้อดีก็คือจะมีหน้าต่าง ซึ่งเป็นหน้าต่างขนาดใหญ่สูงจากพื้นถึงฝ้า ที่หน้าต่างจะเป็นบาน Fixed และบานกระทุ้งอีก 1 บาน
ภาพมองย้อนกลับจากภายในห้อง ให้เห็นภาพโดยรวม
ภายในห้องจะได้เตียงนอนขนาด 3 ฟุตครึ่งมาด้วยตามภาพ
พร้อมโต๊ะข้างอีก 1 ตัว
และได้ตู้เสื้อผ้า พร้อมชุดโต๊ะเครื่องแป้งแบบนี้
ภายในตู้เสื้อผ้าจะมีราวแขวนเสื้อผ้า และลิ้นชักมาให้ ตามภาพนี้
มือจับบานเปิดตู้เสื้อผ้าค่ะ เป็นรูปเกือกม้า จับได้สะดวก
ชุดโต๊ะเครื่องแป้ง และเก้าอี้ที่ได้มาด้วย ยังเหลือพื้นที่ข้างๆ อีกหน่อย อาจจะหาชั้นเล็กๆ มาวางเป็นชั้นเก็บของหรือชั้นวางหนังสือก็ได้
ระยะห่างระหว่างเตียงถึงตู้เสื้อผ้าเหลือเป็นพื้นทางเดินและพื้นที่ยืนแต่งตัวประมาณ 0.9 เมตร เพียงพอแล้ว
หน้าต่างของห้องค่ะ มีขนาดใหญ่สูงจากพื้นถึงฝ้า เป็นบาน Fixed และบานกระทุ้ง
มือจับแบบก้านโยกดังภาพ
มาถึงห้องสุดท้ายกันแล้วค่ะนั่นก็คือห้องนอนใหญ่
มองเข้าไปภายในห้อง มีขนาดที่กว้างขวางขึ้นมาจากห้องนอนเล็กอีกเท่าตัว และได้หน้าต่างมาทั้ง 2 ด้าน
เมื่อวางเตียงนอนขนาด 5 ฟุตแล้ว ที่ฝั่งซ้ายจะเหลือพื้นที่ยืนแต่งตัว 1.2 เมตร ส่วนฝั่งขวาจะเหลืออีก 0.7 เมตร ซึ่งห้องนี้จะวางเตียงขนาด 6 ฟุตก็ยังทำได้เลยนะ (เฟอร์นิเจอร์ที่ได้ก็คือเตียงนอนขนาด 5 ฟุต และโต๊ะข้าง 2 ตัว ตามภาพเลยค่ะ)
พื้นที่ปลายเตียงจะเหลือประมาณ 0.7 เมตร พอๆกับห้องที่แล้วเลย ก็ไม่ควรจะวางอะไรเพิ่มเติมแล้ว
โดยเราแนะนำให้ติดตั้งทีวีแบบแขวนผนังแทนนะ
ซึ่งจุดนี้จะมีปลั๊กไฟและสายอากาศเตรียมมาให้เรียบร้อย ใช้ของ Siemens เหมือนเดิม
ในส่วนของตู้เสื้อผ้า วางเอาไว้ที่ฝั่งขวาของเตียงนอน มีขนาดใหญ่กว่าห้องนอนเล็กเล็กน้อยค่ะ ประตูข้างๆคือห้องน้ำในตัว
ภายในตู้มีราวแขวนเสื้อผ้า และลิ้นชักเก็บของให้เหมือนเดิม
ทั้งวัสดุและสุขภัณฑ์ก็จะใช้แบบเดียวกันทั้งหมด การจัดวางสุขภัณฑ์จะวางไล่จากส่วนแห้งเข้าไปยังส่วนเปียก
อ่างล้างมือแบบฝังเคาน์เตอร์สำเร็จรูปพร้อมก๊อกน้ำแบบเดิม
โถสุขภัณฑ์ พื้นที่นั่งกว้างขวางขึ้นอีกค่ะ
ส่วนพื้นที่ยืนอาบน้ำในโซน Shower ก็จะกว้างขึ้นอีก ขนาดประมาณ 1.5 x 0.9 เมตรเลย
ภายในติดตั้งฝักบัวมาให้แบบเดิม
ฝั่งตรงข้ามกับฝักบัว เจาะผนังทำชั้นวางสบู่ให้เรียบร้อย ข้อดีของห้องน้ำห้องนี้ก็คือ มีหน้าต่างระบายอากาศมาให้ด้วย
แบบ 1 Bedroom Plus (Type 1 BJ)
มาต่อกันที่ห้อง 1 Bedroom Plus (Type 1 BJ) ขนาด 43 ตรม. หน้ากว้าง 7.5 เมตร ตัวย่อ BJ หมายถึง Juliet Balcony ก็คือหน้าต่างที่สูงจากพื้นจนสุดฝ้าเหมือนประตูระเบียง แต่จะมีระเบียงกันตกกั้นตรงขอบหน้าต่างเลย ไม่มีพื้นระเบียงให้เดินออกไปได้นะ ห้องทุก Type จะทำพื้นที่ของระเบียงไว้ไม่มากแล้วมาเพิ่มพื้นที่ภายในตัวห้องให้แทน เพราะระเบียงเป็นพื้นที่ๆถูกใช้งานน้อย
ขนาดของห้องนี้สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยได้ 2 – 3 คน ห้องที่เพิ่มขึ้นมาจะสามารถเป็นได้ทั้งห้องอเนกประสงค์และห้องนอน แต่ห้องนี้จะอยู่ด้านในฝั่งโถงทางเดินเลยไม่มีหน้าต่างให้ ภาพรวมภายในห้องสามารถแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้อย่างลงตัว ห้องครัวที่ได้จะเป็นครัวแบบปิด ช่วยกันกลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง เคาน์เตอร์ครัวถูกจัดให้เป็นรูปตัว L เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการปรุงอาหารให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
ประตูทางเข้าห้องก็จะใช้วัสดุและอุปกรณ์แบบเดียวกับห้องที่แล้ว
มุมมองเข้าไปภายในห้องจะเป็นโถงเล็กๆกว้างประมาณ 1.2 เมตร ซึ่งจะช่วงสร้างความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัยได้ ฝั่งซ้ายมือจะเป็นห้องนอนเล็กหรือห้องอเนกประสงค์ ส่วนฝั่งขวามือจะเป็นห้องน้ำ พื้นของห้องจะปูด้วยลามิเนตลายไม้ ส่วนผนังจะเป็นผนังฉาบเรียบทาสี ฝ้าเพดานภายในห้องจะเป็นฝ้าฉาบเรียบสูง 2.5 เมตร ดวงโคมทั้งหมดเป็นดวงโคมดาวน์ไลท์กล่องสี่เหลี่ยม
มองย้อนกลับมาที่โถงทางเข้าห้อง จะเห็นประตูห้องน้ำ และตู้เก็บของ อยู่ฝั่งทางซ้าย
ตู้เก็บของหน้าห้องจะแบ่งชั้น สำหรับวางของที่หยิบใช้ค่อนข้างบ่อย ภายในซ่อนตู้ Load Center เอาไว้ด้วย
เข้าไปดูในห้องน้ำกันต่อ
ทั้งวัสดุและสุขภัณฑ์ ภายในห้องน้ำ และการจัดวาง จะไม่ต่างจากห้อง 2 Bedrooms เลยค่ะ ขอข้ามไปเลยนะ
จากโถงทางเข้าห้อง มองเข้ามาภายในโถงใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนของห้องรับประทานอาหาร และห้องนั่งเล่น
มาดูที่ส่วนของห้องรับประทานอาหารกันก่อน ตรงนี้จะเป็นมุมผนังเข้าไปสามารถวางโต๊ะกินข้าวขนาด 2 ที่นั่งได้พอดีๆ แต่ถ้ามี 3 คน เราก็สามารถต่อเก้าอี้เพิ่มได้อีก 1 ตัว และอาจจะทำโต๊ะให้มีส่วนที่สามารถพับเก็บได้เพิ่มเติม
ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ได้ก็คือชุดนี้เลยค่ะ มีโต๊ะ 1 ตัว และเก้าอี้อีก 2 ตัว
มองไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งจะติดอยู่กับ Juilet Balcony ห้องกว้างถึง 3 เมตร มีระยะจากชั้นวางทีวีถึงโซฟาประมาณ 1.75 เมตรซึ่งเหมาะกับการดูทีวีจอขนาด 47 – 50 นิ้ว ถ้าติดทีวีแบบแขวนผนังก็จะสามารถดูทีวีขนาดจอที่ใหญ่กว่านี้อีกได้นิดหน่อยค่ะ
เฟอร์นิเจอร์ที่ได้มาก็คือ โซฟาขนาด 2 ที่นั่ง และโต๊ะกาแฟ แบบเดียวกันค่ะ
โต๊ะข้างตัวนี้ก็ได้มาเหมือนกันนะ
องไปที่ฝั่งชั้นวางทีวี ชั้นวางทีวีแบบเดียวกับห้อง 2 Bedrooms ได้มาเช่นกัน
มาดูในส่วนของ Juliet balcony กัน หน้าต่างจะเป็นบานเลื่อน 3 ตอนมือจับแบบเซาะร่องมาตรฐานสามารถเลื่อนเปิดได้ตามภาพ ถ้าเป็นห้อง 1 Bedroom Plus ธรรมดาก็จะเป็นหน้าต่างบาน Fix และหน้าต่างบานกระทุ้งค่ะ
จะเห็นว่าเมื่อเปิดหน้าต่างออกไปแล้วจะมีระเบียงกันตกขึ้นมากั้นเอาไว้ ไม่พื้นส่วนของระเบียง
มาดูในส่วนของห้องครัวกันต่อ ห้องครัวจะเป็นครัวแบบปิด มีประตูบานเลื่อนกระจกลูกฟูกกั้นระหว่างห้องเหมือนเดิม
พื้นภายในห้องครัวปูด้วยกระเบื้องขนาด 60 x 60 ซม. ผนังฉาบเรียบทาสี ได้ชุดเคาน์เตอร์ครัวมาแบบเดิม พร้อมทั้ง Hob&Hood และ อ่างล้างจาน
มองย้อนกลับ เคาน์เตอร์ส่วนปลายตัว L เป็นพื้นที่เตรียมอาหารเหมือนเดิม
จากห้องครัวจะเชื่อมสู่พื้นที่ระเบียง
ที่พื้นระเบียงจะปูด้วยกระเบื้องเซรามิคขนาด 30 x 30 ซม. มีพื้นที่กว้างประมาณ 1 เมตร พอๆ กัน
นอกจากจะเป็นพื้นที่สำหรับตากผ้าแล้วก็จะเป็นพื้นที่สำหรับวาง Compressor แอร์ของห้องด้วย ซึ่งห้อง 1 Bedroom plus จะได้แอร์มาทั้งหมด 3 ตัวโดยตัว
จากห้องครัวกลับออกมาที่โถงส่วนกลางของบ้าน ที่ฝั่งซ้ายคือห้องอเนกประสงค์ ส่วนฝั่งขวาคือห้องนอนค่ะ
มาดูที่ห้องอเนกประสงค์กันก่อน ทางโครงการออกแบบให้ประตูทางเข้าห้องนี้เป็นประตูบานเลื่อนกระจกแบบ 2 ตอนทั้งผนังเพื่อให้แสงสว่างจากภายในห้องสามารถเข้าสู่ตัวห้องได้
ภายในห้องจะมีขนาดประมาณ 2.7 x 2.7 เมตร พื้นห้องก็ปูด้วยลามิเนตเหมือนกัน จริงๆแล้วห้องนี้เราจะจัดเป็นห้องนอนเล็กก็ได้นะคะ ตามห้องตัวอย่างได้จัดห้องนี้เอาไว้เป็นห้องนั่งเล่น ซึ่งจริงๆแล้วในห้องนี้จะสามารถวางเตียงนอนขนาด 3 ฟุตครึ่งได้เลย
จากโต๊ะทำงานมาถึงโซฟาเหลือระยะอยู่ 90 ซม. โซฟาตัวนี้มีความกว้างประมาณ 3 ฟุตครึ่งซึ่งเราสามารถนำเตียงมาวางแทนได้เลยหากต้องการให้ห้องนี้เป็นห้องนอนเพิ่มอีก 1 ห้อง แต่ทางโครงการไม่ได้ให้เฟอร์นิเจอร์ยกเว้นตู้เสื้อผ้าในห้องมาให้นะคะ เพราะลูกบ้านต้องเป็นคนเลือกเองว่าอยากให้ห้องนี้เป็นห้องอะไร
ที่ฝั่งขวาของห้องใกล้ทางประตูเข้า – ออกจะมีตู้เสื้อผ้าแบบ Built – in มาให้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่กว้างประมาณ 0.8 เมตร ข้างบนก็ยังสามารถวางของเพิ่มได้อีกนะ
มาดูที่ห้องนอนใหญ่กันต่อ ประตูห้องนอนจะเป็นบาน HDF เหมือนเดิมค่ะ
ภายในห้องนี้จะได้เตียงนอนขนาด 5 ฟุตมา พร้อมโต๊ะข้างอีก 1 ตัว หน้าต่างภายในห้องจะเป็นบาน Fixed และ บานกระทุ้ง เหมือนห้อง 2 Bedrooms
ระยะโดยรอบเตียงก็ยังสามารถเดินผ่านได้สบายๆค่ะ
ส่วนระยะปลายเตียงจะเหลือเป็นทางเดินอยู่ประมาณ 0.7 เมตร สามารถเดินผ่านหรือทำเตียงได้สะดวก แต่ไม่ควรวางอะไรเพิ่มแล้วนะ ถ้าจะติดตั้งทีวี แนะนำให้ใช้ทีวีแบบแขวนผนังค่ะ
ตู้เสื้อผ้าจะถูกวางเอาไว้ที่ฝั่งซ้ายของเตียงค่ะ
ซึ่งตู้ที่ได้ จะมีขนาดเท่ากับห้องนอนใหญ่ ของห้อง 2 Bedrooms เลย
:::: สรุปรายการวัสดุ และสิ่งที่โครงการให้ (กุมภาพันธ์ 2561) ::::
วัสดุโดยรวม
ห้องน้ำ และสุขาภิบาล
งานไฟฟ้า
เฟอร์นิเจอร์
***รายละเอียด Spec ของวัสดุ อาจมีการเปลี่ยนแปลงเป็นรุ่นที่เทียบเท่า สามารถสอบถามที่โครงการเพิ่มเติมได้ค่ะ
:::: ราคา (กุมภาพันธ์ 2561) ::::
แบบ 1 Bedroom (Type 1 A)
– ขนาด 33.00 ตรม. หน้ากว้าง 5.5 เมตร
– สิทธิ์ที่จอดรถ 1 สิทธิ์
– ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท
***ข้อมูลราคา และโปรโมชั่นอาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดติดต่อสำนักงานขายเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
:::: สรุป ::::
ทำเลที่ตั้งโครงการ โครงการ แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา ตั้งอยู่ในโซนชานเมืองบนถนนรัชดา – รามอินทราซึ่งเป็นถนนตัดใหม่ เป็นโซนที่พักอาศัยในแนวราบเกือบทั้งหมด เป็นโครงการบ้านจัดสรร ทั้งบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม, คอนโดมิเนียม และโฮมออฟฟิศ มีความเงียบสงบซึ่งภาพจะต่างออกไปจากคอนโดมิเนียมในตัวเมืองที่โดยรอบจะค่อนข้างคึกคัก และมีการสัญจรด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวก การกินอยู่ใช้สอยจะเกิดขึ้นด้วยระยะเดินเพียงนิดเดียว
ย่านนี้จะตอบโจทย์สำหรับคนที่ชอบความเงียบสงบ แต่ไม่อยากเสียเวลาดูแลบ้านมาก ความอุดมสมบูรณ์ในย่านนี้ก็นับว่ารองรับการอยู่อาศัยให้มีความสะดวกสบายพอสมควร เพราะในย่านนี้จะมีทั้งห้างสรรพสินค้า, Community mall, Hypermarket, ร้านอาหาร และตลาดนัดให้เลือกไปเดินได้ตามถนนเส้นต่างๆใกล้เคียงกับตัวโครงการ โดยจะสามารถเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวไปได้สะดวก ตรงข้ามกับตัวโครงการเองก็จะมี The Junction เป็น Community mall สามารถหาของกินของใช้ได้สะดวก ไม่ต้องขับรถออกไปไกล
การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ถือว่าสะดวกสบายเพราะตัวโครงการตั้งอยู่บนถนนรัชดา – รามอินทรา ซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมระหว่างถนนเกษตร – นวมินทร์และถนนรามอินทรา ซึ่งถนนทั้ง 2 สายนี้เป็นถนนสายหลักที่ใช้เดินทางเข้าเมือง ทั้ง 2 เส้นนี้จะตัดกับถนนนวมินทร์ซึ่งสามารถใช้วิ่งลงไปเชื่อมกับถนนลาดพร้าวย่านบางกะปิเพื่อเข้าสู่ตัวเมืองได้อีกทาง ตัวโครงการยังอยู่ใกล้กับทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ และวงแหวนกาญจนาภิเษกอีกด้วย
จากทำเลในย่านนี้ยังสามารถเดินทางไปยังโซนนอกเมืองฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือและบริเวณใกล้เคียงอย่าง มีนบุรี, รามอินทรา, หลักสี่, เกษตร – นวมินทร์, ประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบทางด่วน) ได้สะดวก
การเดินทางโดยรถสาธารณะ การเดินทางหลักๆจากบริเวณทำเลโครงการส่วนมากจะพึ่งรถยนต์ส่วนตัวเป็นหลักเพราะปัจจุบันบนถนนรัชดา – รามอินทรายังมีรถประจำทางผ่านไม่เยอะมากนัก การเดินทางด้วยรถสาธารณะยังไม่สะดวกเท่าที่ควร แต่ภายในปี 2563 ก็คาดว่ารถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย – มีนบุรีก็จะสร้างเสร็จ โดยสถานีที่ใกล้ที่สุดก็จะเป็นสถานีวงแหวนตะวันออก ห่างจากตัวโครงการออกไปประมาณ 5 กม. ซึ่งก็จะช่วยให้การเดินทางสะดวกขึ้นเยอะ
การออกแบบโครงการ และวัสดุ โครงการ แชมเบอร์ส เฌอ รัชดา – รามอินทรา เป็นคอนโดมิเนียม Low rise สูง 8 ชั้น ทั้งหมด 252 ยูนิตแบ่งออกเป็น 2 อาคาร ระดับราคา Economy class เฉลี่ยตรม.ละ 69,000 บาท โดยขายแบบ Fully Furnished สามารถหิ้วกระเป๋าเข้ามาพร้อมอยู่ได้เลย ซึ่งราคานี้ก็จะเบาลงมาหน่อยจากโครงการ แชมเบอร์ส รามอินทรา แต่ก็จะมีพื้นที่ใช้สอยที่ลดตามลงมาหน่อยเช่นกัน เนื่องจากโครงการเน้นผู้อยู่อาศัยที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นหลักจึงได้ทำช่องจอดรถเอาไว้ 183 ช่องคิดเป็น 72.5 % ของห้องพักอาศัยโดยยังไม่รวมการจอดแบบซ้อนคัน ถือว่าให้มาอย่างเหมาะสมทีเดียว
ตัวโครงการออกแบบโดยวางอาคารทั้ง 2 ให้เหลื่อมกัน ระยะไม่ประชิดกันจนเกินไป ไม่ค่อยมีห้องที่ประชันหน้ากันซึ่งจุดนี้ถือว่าดีมากๆ เพราะทำให้เกิดความเป็นส่วนของลูกบ้านแต่ละยูนิตเหมือนกับอยู่อาศัยในบ้าน โดยจะมีห้องพักอาศัยทั้งหมด 126 ยูนิตต่อ 1 อาคาร มีอัตราส่วนห้องพักอาศัยต่อลิฟท์โดยสารอยู่ที่ 63 : 1 เท่านั้น ถือว่าพอเพียงและไม่แออัด
ส่วนห้องแต่ละ Type ก็ถูกออกแบบมาให้มีหน้าห้องที่ค่อนข้างกว้าง ทำให้ภายในห้องได้รับแสงจากธรรมชาติอย่างทั่วถึง การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ก็สามารถทำได้ลงตัวมากกว่าเมื่อเทียบกับห้องที่มีหน้าแคบแต่ลึก จุดที่ดีอีกอย่างของห้องในโครงการนี้ก็คือจะลดพื้นที่ในส่วนระเบียงลงให้เหลือเท่าที่จำเป็นเพื่อมาเพิ่มพื้นที่ภายในห้องให้กว้างขวางขึ้น ด้วยการดีไซน์หน้าต่างห้องแบบ Juliet balcony ทำให้ลูกบ้านสามารถเปิดหน้าต่างรับลมชมวิวจากภายในห้องได้โดยไม่ต้องเสียเป็นพื้นที่ระเบียงไป
ส่วนวัสดุ, สุขภัณฑ์ และเฟอร์นิเจอร์ที่ได้มากับตัวห้องก็ได้มาตรฐานดี ถือว่ามีความคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป
สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบรักษาความปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการถือว่าให้มาครบครัน แบบ Indoor ก็จะมีคลับเฮ้าส์ที่ชั้นล่างเป็น Lobby สำหรับนั่งเล่นพักผ่อน ส่วนที่ชั้น 2 ก็จะเป็นฟิตเนส ภายในคลับเฮ้าส์สามารถ Take View จากสวนพักผ่อน, บ่อบัวพร้อม Sunken seating, สระว่ายน้ำยาว 27 เมตรพร้อม Pool Deck และ Day bed ได้ บริเวณภายในสวนถูกจัด Landscape ด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ตามฤดูกาลหมุนเวียนกันไป ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับอยู่ในสวนหลังบ้านของตัวเองเลย ถือว่าไม่เลวเลยสำหรับคอนโดแบบ Low rise ที่ระดับราคา Economy class
ส่วนระบบรักษาความปลอดภัยก็จะประกอบไปด้วยกล้อง CCTV, Security guard ตลอด 24 ชม. พร้อมทั้ง Access card สำหรับเข้าสู่ตัวอาคารและระบบ Key card ภายในลิฟท์แบบระบุชั้น ถือว่าใช้ได้เลยค่ะ
นอกจากนี้ทางโครงการยังบริการรถ Shuttle bus ให้แก่ลูกบ้านด้วย
:::: คะแนน ::::
ทำเลที่ตั้งโครงการ | 7.0 | อยู่บนถนนรัชดา – รามอินทรา ในโซนชานเมือง มีความเงียบสงบมากกว่าและไม่สะดวกสบายเท่าคอนโดมิเนียมในตัวเมืองทั่วไป |
การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว | 8.4 | สามารถเดินทางได้สะดวกเพราะอยู่ใกล้ถนนใหญ่ที่สามารถใช้เดินทางทั้งขาเข้าเมืองและขาออกจากเมืองได้ง่าย นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ และวงแหวนรอบนอกกาญจนาภิเษก |
การเดินทางโดยรถสาธารณะ | 7.0 | ยังไม่ค่อยมีรถสาธารณะวิ่งผ่านหน้าโครงการเท่าไรนัก แต่โครงการจะมีบริการรถ Shuttle bus และเป็นโซนที่รถไฟฟ้าสายสีชมพูเข้าถึง (ในปี 2563) จึงช่วยเพิ่มคะแนนขึ้นมาได้อีกหน่อย |
บ้านและวัสดุ | 8.4 | โครงการขายแบบ Fully Furnished อย่างครบครัน วัสดุและสุขภัณฑ์ได้มาตรฐาน ซึ่งขายในเรทราคา Economy class |
สิ่งอำนวยความสะดวก | 8.3 | สิ่งอำนวยความสะดวกถือว่าครบครันทีเดียว |
ความคุ้มค่ากับราคา | 8.0 | โครงการเหมาะสำหรับครอบครัวขยายขนาด 2 – 3 คนที่มีรถยนต์ส่วนตัวขับ ที่มีงบประมาณไม่สูงมากนัก เดิมอาจจะอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับตัวโครงการ |
คะแนนรวมเฉลี่ย | 7.85 | ดี |
:::: สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ::::
CALL CENTER : 1749
สำนักงานขาย : 092 – 997 – 9978
WEBSITE : http://www.scasset.com/th/project/detail.aspx?id=85
แสดงความคิดเห็น