EP.331 รีวิว คอนโด เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ The Monument Thong lo ราคาเริ่มต้นที่ 35 ล้านบาท
Written by : Nin Yanin Phueksoongnoen
สวัสดีค่ะผู้อ่านชาว Condonayoo ที่รักทุกคน วันนี้เราจะพามาชมโครงการ The Monument ทองหล่อ ซึ่งเป็นคอนโด High rise ใหม่ล่าสุดจาก Sansiri & BTS กันค่ะ
ตัวโครงการอยู่บน ซอยสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ทำเลแห่งศักยภาพ ซึ่งเป็นศูนย์รวมไลฟ์สไตล์แบบไฮเอนด์ ทั้งความสะดวกสบายและการเดินทางใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อ 2.2 กม. ใกล้ ถนนสุขุมวิท, ถนนเพชรบุรี และใกล้ 2 ด่วนหลัก ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และ ทางด่วนเฉลิมมหานคร
เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ เป็น High rise Condominium ระดับ Ultimate Luxury สไตล์ Monolith ที่สูงที่สุดบนเส้นทองหล่อ สูง 45 ชั้น หรือ 177 เมตร มี 1 อาคาร จำนวนเพียง 127 ยูนิต บนเนื้อที่ 2 ไร่ ออกแบบโดย Quintrix Architects จากแนวคิด Luxury is Space ด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหมือนกับอยู่บ้านเดี่ยว จากแนวคิด The Monument to Generations โดดเด่นด้วยวัสดุที่หรูหรา ประดับประดาด้วยผลงานศิลปะ Antique จากศิลปินยุค 70’s 80’s และ 90’s จากทั่วโลก
โครงการมีห้องให้เลือกทั้งหมด 5 แบบคือ ห้อง 2 Bed 2 Bath ขนาด 124.25 ตร.ม., 3 Bed 3 Bath ขนาด 252.25 ตร.ม., Penthouse 1 ขนาด 508.75 ตร.ม., Penthouse 1 ขนาด 520.75 ตร.ม. และ Duplex Penthouse ขนาด 662.00 ตร.ม. พร้อมขายในรูปแบบ Fully Fitted โดยปัจจุบันทางโครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้วค่ะ
สิ่งอำนวยความสะดวก ของทางโครงการมี Lobby, Swimming Pool with Kids’ Pool, Garden Area 1,000 sq.m., Fitness Room, Multi – purpose Area, Playroom, Educational Playground, Yoga Room, The Palour, Dogs’ Park, Chauffeurs’ Lounge, Private Lift, Parking 192%, Card Control, CCTV, 24 Hour Security รวมทั้งยังมีบริการเสริมอื่นๆ เสมือนมี Hotelier ในคอนโดมิเนียม ไม่ว่าจะเป็น All Suite Butler Service, Limousine Service และ Valet Parking เปิดราคาขายเฉลี่ย 350,000 บาท/ตร.ม. หรือราคาเริ่มต้นที่ 35 ล้านบาท
เชิญติดตามรายละเอียดแบบเจาะลึกของโครงการที่ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
ชื่อโครงการ | เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ The Monument Thong Lo |
เจ้าของโครงการ | แสนสิริ & บีทีเอส / Sansiri & BTS |
เนื้อที่ทั้งหมด | 2 ไร่ |
จำนวนตึก | 1 อาคาร |
จำนวนชั้น |
|
จำนวนห้อง | 127 ยูนิต |
ลักษณะห้องและขนาดห้อง |
|
ที่จอดรถทั้งหมด | 192% |
จำนวนลิฟต์ |
|
โซน | ทองหล่อ |
ขนส่งสาธารณะ |
|
รถโดยสารที่ผ่าน | n/a |
ที่ตั้ง | ซอยสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. 10110 |
กำหนดการ | n/a |
ปีที่สร้างเสร็จ | พ.ศ.2562 |
ราคา | เริ่มต้น 35 ล้านบาท* (ก.ค.62) |
ราคาเฉลี่ยต่อ ตร.ม | เริ่มต้น ประมาณ 350,000 บาท* (ก.ค.62) |
ค่าส่วนกลางและกองทุน |
|
สถานที่สำคัญใกล้เคียง | ห้างสรรพสินค้า
สถานศึกษา
ศูนย์การแพทย์
ศาสนสถานและอื่นๆ
สถานที่ราชการและอาคารสำนักงาน
|
สิ่งอำนวยความสะดวก |
|
จุดเด่นของโครงการ | The Monument Thong Lo คอนโดหรูย่านทองหล่อ “Luxury Is Space” ค้นพบนิยามของความหรูหรารูปแบบใหม่บนทองหล่อ | 2 ห้องนอน เริ่ม 35 ล้านบาท* |
:::: ที่ตั้งโครงการ ::::
ซอยสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. 10110
พิกัด : 13.741825, 100.585416
ทำเลที่ตั้ง โครงการ The Monument ทองหล่อ ตั้งอยู่บนที่ดินเก่าของ H1 ที่เป็น Community เล็กๆ บนซอยสุขุมวิท 55 หรือเราคุ้นหูกันดีว่า ซอยทองหล่อ ทำเลจะค่อนไปทางเส้นเพชรบุรีใกล้ๆ สะพานข้ามคลองค่ะ ทำเลนี้เป็นย่านที่โดดเด่นและขึ้นชื่อเรื่องไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ฮอตเป็นอันดับต้นๆ ในกรุงเทพฯ จุดเด่นที่ทำให้ทำเลนี้เป็นทำเลศักยภาพก็คือ ความคล่องตัวในการใช้ชีวิต เพราะเป็นทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวก มีตัวเลือกในการเดินทางที่หลากหลาย เป็นแหล่งของการสังสรรค์และเข้าสังคมที่ขึ้นชื่อเรื่องร้านอาหารหรูชิคๆ เก๋ๆ, สถานบันเทิงที่มีชื่อ และ Community Mall อีกทั้งยังเป็นทำเลทองของย่านธุรกิจ เพราะเป็นอีกหนึ่งศูนย์รวมของพวก Office Building
นอกจากนี้ยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยยอดนิยมของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เพราะมีคอนโดระดับ Luxury และ Residential Building อยู่อีกหลายเจ้า ที่ดินในย่านนี้จึงมีราคาสูงและก็ยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนอย่างมาก ในปัจจุบันซอยทองหล่อนั้นมีความหนาแน่นอยู่พอตัวแล้ว จะหาพื้นที่สำหรับโครงการใหม่ๆ ก็นับว่าหาได้ค่อนข้างยากแล้ว หรือถ้ามีก็จะเป็นการซื้อพื้นที่ของอาคารเก่าเพื่อมาทำโครงการใหม่ค่ะ
การเดินทางด้วยรถยนต์ ซอยทองหล่อ เป็นเส้นที่เชื่อมระหว่าง ถนนสุขุมวิท และ ถนนเพชรบุรี ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่รู้ๆ กันอยู่ว่ารถติดมากทีเดียว เนื่องด้วยปริมาณของคนที่อยู่อาศัย, ทำงาน และสัญจรผ่านไปมาก็ได้ใช้ ซอยทองหล่อ รวมถึง ซอยเอกมัย ที่อยู่ขนานกันเป็นเส้นทางสำหรับเข้า – ออกเมืองฝั่งสุขุมวิท จึงพลอยทำให้ถนนเส้นนี้มีการจราจรที่หนาแน่นไปด้วย แต่ภายในซอยทองหล่อก็ยังพอมีทางลัดเลาะอยู่บ้าง ทั้ง ซอยแจ่มจันทร์, ซอยธารมรมณ์ 2 และ ซอยทองหล่อ 10 ที่สามารถใช้ลัดไปยังซอยเอกมัยได้ และตรงซอยเอกมัย 28 ก็สามารถเชื่อมกับต่อเส้นปรีดี พนมยงค์ ได้อีกทาง
นอกจากนี้ ยังมีทางลัดที่สามารถใช้เลี่ยงรถติดตรงปากซอยเอกมัยได้ นั่นก็คือ ซอยเอกมัย 10 หรือตรง Heath Land จะสามารถใช้วิ่งลัดเลาะมาออกที่บริเวณ ซอยสุขุมวิท 65 ได้ ถ้าต้องการเข้าเมืองทาง ถนนพระราม 4 ก็จะมี ซอยสุขุมวิท 36 และ 40 ฝั่งตรงข้าม ที่สามารถใช้เชื่อมไปออกพระราม 4 ได้ ส่วน ซอยสุขุมวิท 42 ก็สามารถใช้เชื่อมจาก ถนนพระราม 4 กลับเข้ามายัง ถนนสุขุมวิทได้ค่ะ
ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ตัวโครงการยังใกล้จุดขึ้นลงทางพิเศษฉลองรัช, ทางพิเศษศรีรัช และ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทั้งขาเข้าและออกเมืองอีกด้วย จะเห็นว่าจากโครงการนั้นสามารถเลือกใช้เส้นทางได้หลากหลาย ทั้งจาก ถนนสุขุมวิทไปทางสยาม, ถนนเพชรบุรีไปทางพญาไท หรือ ถนนพระราม 4 ไปทางสาทร – สีลม ก็ได้ทั้งนั้น ถึงแม้ว่าถนนโดยรอบจะเป็นถนนที่รถติด แต่ทุกเส้นพอจะมีทางลัดเอาไว้ให้พอลัดเลาะเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรบางช่วงได้อยู่บ้างค่ะ
ทางด่วน จากตัวโครงการจะอยู่ใกล้กับจุดขึ้นทางพิเศษฉลองรัชด่านพระราม 9 ด้วยค่ะ ถ้าจะออกไปทางรามอินทรา – วัชรพลหรือเชื่อมต่อกับทางพิเศษศรีรัชไปทางปากเกร็ดหรือชลบุรี
อีกจุดขึ้นทางด่วนนึงที่อยู่ไม่ไกลก็คือทางพิเศษเฉลิมมหานคร ใช้ออกเมืองไปทางพระราม 2 จาก ถนนสุขุมวิทไป ถนนพระราม 4 ผ่าน ซอยสุขุมวิท 40 และจาก ถนนพระราม 4 วิ่งผ่าน ถนนกล้วยน้ำไทเข้า ถนนอาจณรงค์เพื่อขึ้นทางด่วนค่ะ
:: สรุปแยก และ ถนนสำคัญรอบโครงการ ::
การเดินทางด้วยรถสาธารณะ นับว่าสะดวกมาก เพราะตัวโครงการอยู่ติดกับซอยทองหล่อ ซึ่งก็มีรถสาธารณะวิ่งผ่านอยู่ตลอดเวลา รถแท็กซี่ก็เรียกได้ไม่ยาก ส่วนคิววินมอเตอร์ไซค์ก็มีให้เห็นอยู่ตลอดทั้งเส้นเลยค่ะ สามารถเรียกใช้บริการได้อย่างง่ายดาย
ในส่วนของรถไฟฟ้า BTS สถานีที่ใกล้ที่สุดคือ สถานีทองหล่อ ห่างจากหน้าโครงการประมาณ 2.2 กม. ถ้านั่งรถไปจะใช้เวลาเพียง 7 นาทีเท่านั้นค่ะ และถ้าเรานั่งไปถึง Terminal 21 ลงที่ สถานีอโศก จะเป็นสถานี Interchange กับ MRT สถานีสุขุมวิท ในอนาคตจะมี รถไฟฟ้าสายสีเทา วิ่งมาจากวัชรพลผ่านถนนประดิษฐ์มนูธรรมเส้นทองหล่อ มา Interchange ที่ สถานีทองหล่อ อีกด้วย จากตัวโครงการไปขึ้นรถไฟฟ้าที่ สถานีแจ่มจันทร์ จะสะดวกที่สุด
จากบริเวณโครงการมาถึงทางขึ้นรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ ทางออกที่ใกล้ที่สุดคือทางออกที่ 3 นะ ถ้าเราจะไป Gateway เอกมัยก็ให้นั่งไป 1 สถานีลงที่สถานีเอกมัยและออกที่ทางออก 4 ค่ะ
ความอุดมสมบูรณ์ ย่านทองหล่อนั้นโดดเด่นในเรื่องของความอุดมสมบูรณ์, ร้านอาหารหรูชื่อดัง, Community Mall และสถานที่ Hang out ในตอนกลางคืนอยู่แล้ว ใกล้กับตัวโครงการในระยะเดินเลยก็จะมีทั้ง The Commons เป็น Community Mall แนวใหม่มุมถ่ายรูปเพียบ ภายในมีร้านอาหารดีๆ ถึง 4 โซน ได้แก่ Market Village Play Yard และ Top Yard, J Avenue ศูนย์ไลฟ์สไตล์ที่แรกในประเทศไทย มีซูเปอร์มาร์เก็ต ธนาคาร คลินิกความงาม Trendy Café และร้านอาหารนานาชาติชั้นนำมากมายให้เลือก, Penny’s Balcony, Tops Market ทองหล่อ, Seen Space, แหล่งร้านอาหารญี่ปุ่นอย่าง Nihonmura Mall และถ้าเข้าไปใน ซอยทองหล่อ 10 (หรือซอยเอกมัย 5) ก็จะมีร้าน Pub&Restaurant หลายร้าน และมี Donki Mall เป็นห้างขายสินค้าลดราคายอดฮิตจากประเทศญี่ปุ่น ถ้าเข้าไปใน ซอยแจ่มจันทร์ ก็จะมีร้านที่น่าสนใจอีกหลายร้านค่ะ
อย่างซอยพี่น้องที่อยู่คู่ขนานกันอย่าง ซอยเอกมัย ก็มี Big C เอกมัย อยู่ข้างๆ กับ Index Living Mall ที่ฝั่งตรงข้ามก็มี Park Lane เป็น Life Style Mall ภายในรวบรวมร้านค้า, ร้านอาหารหลากแนว, สปา, ซุปเปอร์มาร์เก็ต, ศูนย์การเรียนรู้ และสวนสนุกของคุณหนูเอาไว้
ออกมาที่เส้นสุขุมวิทในระยะใกล้ๆ จะมีศูนย์การค้าอย่าง Gateway เอกมัย ตกแต่งเอาใจคอญี่ปุ่น, Major เอกมัย, Rain Hill, ท้องฟ้าจำลอง, Tops market ถ้านั่งรถไฟฟ้าไปแค่ 2 สถานีก็ถึงย่านพร้อมพงษ์ ซึ่งเป็น The EmDistrict ทั้ง Emquatier กับ Emporium ซึ่งในอนาคตก็จะมี Emsphere อยู่ฝั่งเดียวกับ Emporium ติดกับสวนเบญจสิริอีกด้วยค่ะ
:: สรุปสถานที่สำคัญรอบโครงการ ::
ห้างสรรพสินค้า
สถานศึกษา
ศูนย์การแพทย์
ศาสนสถานและอื่นๆ
สถานที่ราชการและอาคารสำนักงาน
:::: การเดินทางสู่โครงการ ::::
วันนี้ทางทีมงาน Condonayoo มีภาพการเดินทางไปสู่ตัวโครงการโดยใช้รถยนต์ส่วนตัวมาฝากกันค่ะ โดยเราจะเริ่มการเดินทางจาก
ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ > ถ.พัฒนาการ > ถ.เพชรบุรี > ซ.สุุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) > The Monument ทองหล่อ
วันนี้เราจะเริ่มต้นการเดินทางจากบนทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์กันค่ะ โดยจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 20 นาที เราจะมุ่งหน้าไปทางบางนา – ดาวคะนอง
มุ่งหน้าไปตามป้ายบางนา – ดาวคะนองเลยค่ะ
สังเกตป้ายถนนพัฒนาการเอาไว้ แล้วให้เราชิดซ้ายเตรียมลงที่ทางออก 5 นะ
ชิดซ้ายแล้วลงที่ทางออก 5 เลยค่า
เมื่อขับลงมาจากทางด่วนแล้วจะมีทางแยก 2 ทางเพื่อเข้าถนนพัฒนาการแบบนี้ ให้เราชิดขวาเพื่อออกไปทางถนนเพชรบุรี
เมื่อเลี้ยวขวามาแล้วบนเส้นพัฒนาการจะเจอคอนโด The Leaf อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ ให้เราขับชิดเลนซ้าย หรือขึ้นสะพานข้ามแยกก็ได้เหมือนกัน
ถ้าไม่ได้ขึ้นสะพานให้เราขับไปตามป้ายเพชรบุรีนะคะ
จะมาเจอแยกไฟแดงแบบนี้ให้เราอยู่เลนกลางเพื่อข้ามแยกค่ะ ถ้าออกซ้ายจะเข้า ซ.สุขุมวิท 71 หรือ ปรีดี พนมยงค์นั่นเอง ทางนั้นก็สามารถใช้เดินทางไปตัวโครงการได้เช่นกัน
เมื่อเราขับข้ามแยกมาแล้วจะเข้าถนนเพชรบุรี เป็นจุดที่สะพานข้ามแยกเมื่อสักครู่ขับมาลงพอดี
เราขับตรงไปเรื่อยๆ ผ่านซอยสุขุมวิท 63 หรือ ซอยเอกมัยนั่นเอง
จากนั้นให้เราชิดซ้ายและเลี้ยวซ้ายเข้าซอยทองหล่อค่ะ
เข้ามาภายในซอยทองหล่อแล้วให้เราขับตรงไปเรื่อยๆ เราจะเห็นอาคาร The Arcadia Head Quarters ที่ฝั่งขวามือ ตัวโครงการจะอยู่ฝั่งตรงข้ามค่ะ ให้เราชิดซ้ายเลย
แล้วเราก็มาถึงโครงการ The Monument ทองหล่อ กันแล้วค่ะ
:::: สภาพแวดล้อมรอบโครงการ ::::
ตัวโครงการตั้งอยู่บนซอยสุขุมวิท 55 หรือซอยทองหล่อ ฝั่งตรงข้ามกับ The Arcadia Head Quarters พอดีค่ะ ซึ่งตรงนี้จะเป็นที่ดินเก่าของ H1 ที่เคยเป็น Community เล็กๆ บริบทโดยรอบโครงการจะมีทั้ง Residential Building, ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, อาคารพาณิชย์, อาคารสำนักงาน และบ้านพักอาศัยของคนในละแวกนั้นค่ะ
เรามาเดินดูบริบทโดยรอบโครงการกันค่ะว่ามีอะไรอยู่ในละแวกใกล้ๆ นี้บ้าง เริ่มจากฝั่งตรงข้ามกับตัวโครงการก็คือ The Arcadia Head Quarters
จากบริเวณหน้าโครงการหันไปทางฝั่งขวามือ มุ่งหน้าไปทางถนนเพชรบุรี
ตัวโครงการจะอยู่ใกล้กับตีนสะพานข้ามคลองแสนแสบ ข้ามสะพานไปก็คือถนนเพชรบุรีแล้วค่ะ
ข้างๆ ตัวโครงการก็คือสำนักงานเขตวัฒนานั่นเอง ซึ่งในอาคารนี้เองก็ยังมี รร.นนทฤทธิ์ลีลาศ, ไนท์คลับ, โบสถ์ทองหล่อ, พื้นที่สำหรับจัดกิจกรรม และร้านอาหาร
บริเวณใต้สะพานเป็นจุดยูเทิร์น มีทางเท้าให้เราสามารถเดินอ้อมไปที่ถนนฝั่งตรงข้ามได้โดยไม่ต้องข้ามถนนค่ะ
กลับมาที่บริเวณหน้าโครงการ หันไปทางฝั่งซ้ายมือ มุ่งหน้าไปทางถนนสุขุมวิท
ติดกับตัวโครงการเป็นอาคารสูง 4 ชั้นตอนนี้กำลังปิดเพื่อรีโนเวทอยู่ค่ะ
ใกล้ๆ กันมี Service Apartment สูง 6 ชั้น
มองไปที่ฝั่งตรงข้ามเป็น Wedding Studio ที่มีชื่อเสียงและร้านขาย Chandelier
ติดกับ Service Apartment เมื่อสักครู่ก็คือคอนโด Noble Solo ชั้นล่างของคอนโดมีธนาคารกสิกรไทยเปิดให้บริการอยู่ค่ะ
เดินมาถึงซอยแจ่มจันทร์จะเห็นวิทยาลัยดนตรีและศิลปะการแสดง SCA
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของซอยแจ่มจันทร์จะมี 7 – Eleven อยู่ 1 สาขา เดินมาสะดวกมากๆ
มองไปที่ฝั่งตรงข้ามก็คือโรงแรม The Residence on Thonglor ที่ชั้นล่างมี Family Mart ด้วยค่ะ
หากจะทำธุรกรรมทางการเงินก็ง่ายเพราะมีที่ตั้งธนาคารอยู่หลายแบรนด์ เดินมาอีกหน่อยก็เจอธนาคารกรุงศรีอีก 1 สาขา
บางช่วงภายในซอยทองหล่อก็จะมีร้านอาหารประเภท Street Food อยู่ด้วยค่ะ ราคาสบายกระเป๋า
เรามองไปที่ฝั่งตรงข้าม ก็ถึงรพ.คามิลเลียนแล้วค่ะ ด้านหน้าโรงพยาบาลมีทางม้าลายให้ข้ามได้อย่างปลอดภัย
ถัดมาก็มีร้านเฟอร์นิเจอร์และร้านเสื้อผ้าสวยๆ
และร้านเนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่นเซนิกุเทน
ร้านซาลอนทำผมก็มีอยู่เต็มไปหมด
เดินไปเรื่อยๆ จะเห็นคลีนิกเสริมความงามให้เห็นกันอยู่ทั่วๆ ไป
มองไปที่ฝั่งตรงข้ามมีร้าน S&P
มีร้านขนมปังเว้ยเฮ่ย เป็นขนมปังราคาย่อมเยา รสชาติอร่อย แถมไส้ขนมปังก็ให้มาอย่างจุใจเลยค่ะ
ที่ฝั่งตรงข้ามก็คืออาคารพาณิชย์เหมือนกัน สูง 4 ชั้น ชั้นล่างเปิดเป็นร้านอาหารฝรั่งแบบ All Day Breakfast และข้างๆ กันเป็นร้านอาหารจีนค่ะ
และมีธนาคารธนชาตอยู่อีก 1 สาขา
ติดกันคือร้านขายรถจักรยานยนต์
และศูนย์ศัลยกรรมเสริมความงามใต้คอนโด The Height
มองไปที่ฝั่งตรงข้ามมีอาคารพาณิชย์ เปิดเป็นร้านกาแฟ, ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ และร้านอาหารไทย
ข้างๆ กันคือคอนโด Ivy ทองหล่อ
และร้านอาหาร Viva Market
ฝั่งตรงข้ามกับ Ivy Thonglor ก็คือร้าน Hang out ยอดนิยม Bottoms Up
ไม่ไกลกันมีร้านกาแฟร้านเล็กๆ จัดแบบบรรยากาศในสวนให้ดู Relax
ซึ่งอยู่ติดกับสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อเลยค่ะ
มองไปที่ฝั่งตรงข้ามก็จะมีพวกร้านข้าวแกงราคาย่อมเยาเอาใจคนอยากประหยัดกันบ้าง
เราเดินมาประมาณ 850 เมตร ก็จะเจอร้าน 72 Courtyard แล้ว
ซึ่งติดๆ กันเลยก็คือร้านดังอย่าง Mellow และ Penny’s Balcony
ฝั่งตรงข้ามกับ Penny’s Balcony ก็คือ J Avenue นั่งเองค่า
:::: ตัวโครงการ ::::
The Monument ทองหล่อ เป็น High rise Condominium ระดับ Ultimate Luxury ที่สูงที่สุดบนเส้นทองหล่อ สูง 45 ชั้น หรือ 177 เมตร มี 1 อาคาร จำนวนเพียง 127 ยูนิต บนเนื้อที่ 2 ไร่ ออกแบบโดย Quintrix Architects ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ภายนอกออกแบบมาในสไตล์ Monolith เป็นการรวมคำจากภาษากรีกโบราณ 2 คำคือ Monos (แปลว่าหนึ่งเดียว) + Lithos (แปลว่าหิน) รวมกันเป็นคำว่า Monolith หมายถึง หินหรือภูเขาลูกเดี่ยวๆ จึงออกมาเป็นอาคารรูปทรงสูงตรงตะหง่านและโดดเด่น เน้นการตกแต่งภายนอกอาคารแบบ Minimal ด้วย Glass Building ใช้กระจกปิดผิวอาคารทั้งหมด มีดีเทลที่แถบสีทองวิ่งเป็นเส้น คงความสวยงามในทุกยุคทุกสมัย
ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปชมบรรยากาศจริงๆ ภายในตัวโครงการ เรามาดูผังโครงการเพื่อความเข้าใจกันก่อนค่ะ เริ่มจาก ชั้น G ทางเข้าโครงการจะอยู่ในซอยทองหล่อ ผ่านระบบรักษาความปลอดภัยแบบ RFID พอเข้ามาในโครงการแล้วต้องวนไปทางซ้ายมือตามเข็มนาฬิกา จะมีทางแยกลงไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดินอีก 6 ชั้น (ที่จอดรถจำนวน 192% ของจำนวนยูนิตพักอาศัย) และมีทางแยกขึ้นไปยังส่วน Drop – off เข้าสู่ตัวอาคาร ส่วนทางที่วนไปด้านหลังอาคารจะเป็นส่วน Service Area ค่ะ
เมื่อเข้าไปด้านในตัวอาคารแล้วส่วนแรกจะเป็น Lobby ขนาดใหญ่เชื่อมต่อไปยัง Lift Lobby ซึ่งโครงการนี้เขาจะแบ่ง Lift Lobby ออกเป็น 2 จุด แต่ละจุดมีลิฟท์ 2 ตัว และเป็นลิฟท์ 2 ประตู เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบายของลูกบ้านทุกยูนิต ระหว่างโถงลิฟท์ก็จะมี Mail Room และทางเชื่อมออกไปยังสวนด้านหลังโครงการ ซึ่งสวนด้านหลังโครงการจะประกอบไปด้วย สวนพักผ่อน, Tree House และ Educational Playground ค่ะ และเนื่องจากว่าโครงการ ปนี้เป็น Pet Friendly Condo สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ (ยกเว้นสัตว์ 3 ประเภท คือ นก หนู และสัตว์เลื้อยคลาน) จึงมีพื้นที่สวนด้านหน้า หรือ Dogs’ Park เป็นสวนสำหรับสัตว์เลี้ยงให้น้องๆ มาเดินเล่น, เข้าสังคม และออกกำลังกายได้ค่ะ
ชั้น 2 ทั้งชั้นจะเป็น Facilities ทั้งหมดของโครงการค่ะ ประกอบด้วย Swimming Pool และ Kids’ Pool ขนาดใหญ่ถึง 28 x 9.5 เมตร เป็นสระน้ำกรองระบบเกลือ, Steam Room ในห้องน้ำชาย – หญิง, The Parlour หรือ Lounge, Meeting Room 2 ห้อง, Yoga Room, Play Room และ Fitness พร้อมอุปกรณ์การออกกำลังกายระดับ World Class
ชั้น 3 – 27 ตั้งแต่ชั้น 3 ขึ้นไปจะเป็นส่วนของ Residential ทั้งหมดค่ะ ด้วยวิธีการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่ชาญฉลาด มีการวางผังอาคารที่ทำให้ได้พื้นที่ภายในแต่ละยูนิตที่กว้างขวาง โดยไม่มีเสากั้นภายในห้อง ที่ชั้น 3 – 27 นี้จะเป็นชั้นที่มีจำนวนยูนิตมากที่สุดหรือเพียง 4 ห้อง/ชั้นเท่านั้น ซึ่งเป็นห้องแบบ 2 Bed 2 Bath ขนาด 124.25 เท่ากัน และได้เป็นห้องมุมทั้งหมดทุกห้อง จะเห็นว่า Lift Lobby ที่แยกออกมาเป็น 2 โถง และเป็นลิฟท์แบบ 2 ประตูนั่นก็เพื่อให้ทุกยูนิตได้ Private Lift นั่นเอง อีกทั้งยังเตรียมลิฟท์ไว้ให้ถึง 2 ตัวใน 1 โถง เพื่อให้ลูกบ้านไม่ต้องรอลิฟท์นาน และเผื่อการซ่อมบำรุงลิฟท์ตัวใดตัวหนึ่ง ก็จะยังมีลิฟท์อีกตัวที่ยังสามารถใช้งานได้อยู่ แต่ถ้าต้องการพาสัตว์เลี้ยงออกไปข้างนอก ลูกบ้านจะต้องใช้ Service Lift ที่อยู่ตรง Service Corridor ด้านหลังห้องแทนนะคะ ซึ่งส่วน Service Corridor จะเป็นจุดสำหรับงานระบบต่างๆ ของห้องพักอาศัย รวมถึงเป็นจุดที่มีบันไดหนีไฟอีกด้วย
ชั้น 29 – 40 ที่ชั้นนี้จะเป็นห้องแบบ 3 Bed 3 Bath ขนาด 252.25 ตร.ม. มีจำนวนเพียง 2 ยูนิต/ชั้น เท่านั้น ซึ่งนอกจากจะมีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่แล้ว ยังมีห้องที่เตรียมเอาไว้สำหรับแม่บ้านพร้อมห้องน้ำแยกในตัวให้ด้วยนะ (นับว่าเป็นห้องแม่บ้านที่มีวิวดีที่สุดในกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้ค่ะ ฮ่าๆ)
ชั้น 41 เป็นชั้นของยูนิต Penthouse ที่มีเพียง 1 ยูนิต/ชั้น เท่านั้น จึงได้เนื้อที่ห้องที่มีขนาดขนาดใหญ่ถึง 508.75 ตร.ม. เลยค่ะ ซึ่งลิฟท์ที่ใช้งานขึ้นมาถึงชั้น 41 ได้จะเป็นลิฟท์จาก Lift Lobby ฝั่งด้านหลังอาคารเท่านั้นนะ
ชั้น 42 เป็นชั้นของยูนิต Penthouse ที่มีเพียง 1 ยูนิต/ชั้น เช่นกัน แต่มีความพิเศษตรงที่มีสระว่ายน้ำแบบ Sky Pool ส่วนตัว อีกทั้งยังได้พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ตรงห้องข้างสระว่ายน้ำอีกด้วย เนื่องจากไม่มีปล่องลิฟท์ฝั่งด้านหน้าอาคารแล้ว (ซอยฝั่งทองหล่อ) รวมเนื้อที่ห้องเป็น 520.75 ตร.ม.
ชั้นที่ 43 เป็นชั้นของยูนิต Duplex Penthouse ชั้นล่างค่ะ ขนาดรวมกันของพื้นที่ทั้ง 2 ชั้น พื้นที่ชั้นล่างหลักๆ จะเป็นส่วนพักอาศัย ทั้งห้องนั่งเล่น, ห้องรับประทานอาหาร, ห้องครัว และยังมีห้องนอนอีก 2 ห้อง ความพิเศษของห้องนี้ก็คือจะมีห้องโถงขนาดใหญ่ฝั่งซอยทองหล่อ ซึ่งออกแบบให้โอ่อ่ามาก เป็น Double Volume Space ที่มีฝ้าเพดานสูงกว่า 7 เมตรเลยค่ะ
ชั้น 44 เป็นชั้นของยูนิต Duplex Penthouse ชั้นบน ซึ่งหลักๆ จะเป็นห้องนอน Master อีก 2 ห้องค่ะ
:::: แบบห้องของโครงการ ::::
ห้องพักอาศัยภายในโครงการถูกออกแบบจากแนวคิด Luxury is Space และ THE MONUMENT TO GENERATIONS สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหมือนกับอยู่บ้านเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเป็นส่วนตัว หรือด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ อีกทั้งยังใช้วัสดุตกแต่งภายในที่หรูหราไม่แพ้ส่วนกลางของโครงการ อาทิ White Venue Marble, นำเข้าจากเหมืองหินในประเทศกรีซ ต่อกันเป็นลวดลาย Bookmatch ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกบริเวณพื้นโถงทางเข้า (Foyer), แบรนด์สุขภัณฑ์จาก Gessi, สวิตช์พร้อมระบบ Automation จากแบรนด์ Legrand จากประเทศฝรั่งเศส, ชุดครัว Binova จากประเทศอิตาลี, เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวจาก Smeg (Made in Italy), Top เคาน์เตอร์ครัว และ Back Splash ทำจากหิน Calacatta Belgia เป็นต้น โดยมีห้องทั้งหมด 5 แบบด้วยกันดังนี้ค่ะ
Type 2A : ห้อง 2 Bed 2 Bath ขนาด 124.25 ตร.ม. (with Balcony)
Type 2B : ห้อง 2 Bed 2 Bath ขนาด 124.25 ตร.ม. (without Balcony)
Type 3A : ห้อง 3 Bed 3 Bath ขนาด 252.25 ตร.ม.
Type PH1 : ห้อง Penthouse ขนาด 508.75 ตร.ม.
Type PH2 : ห้อง Penthouse ขนาด 520.75 ตร.ม.
Type PH3 (Lower) : ห้อง Penthouse ขนาด 662.0 ตร.ม.
Type PH3 (Upper) : ห้อง Penthouse ขนาด 662.0 ตร.ม.
:::: บริเวณภายในโครงการ ::::
เราได้ดูผังของโครงการกันไปพอเข้าใจแล้ว คราวนี้เราจะมาเดินสำรวจและดูรายละเอียดของโครงการในแต่ละจุดกันบ้างค่ะ เริ่มจากทางเข้าของโครงการจะเป็น Security Gate คอยดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ประกอบด้วย Guard House, CCTV และ Automatic Gate ระบบ RFID คล้ายกับระบบ Easy Pass สามารถขับรถผ่านเข้าไปได้เลย ฝั่งซ้ายมือด้านข้าง Guard House จะมีทางเท้ายกระดับขึ้นมาจากถนนสำหรับลูกบ้านเดินเข้าสู่ภายในโครงการได้อย่างปลอดภัย
เมื่อเราเข้ามาภายในโครงการแล้ว ส่วนแรกที่เราจะเห็นก็คืออาคารที่โดดเด่นแปลกตาเหมือนชิ้นงานศิลปะ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวงปีของต้นจามจุรีที่มีอยู่แต่เดิมของที่ดินผืนนี้ค่ะ (เป็นทางเข้า Lift Lobby อาคารจอดรถ และใช้เป็นฐานของสระว่ายน้ำชั้น 2 ด้วย) เจ้าต้นจามจุรีที่ว่านั้นมีอยู่ทั้งหมด 5 ต้นด้วยกัน ซึ่งมีอายุกว่า 50 ปี ทางโครงการได้เก็บรักษาเอาไว้และนำมาใช้ใน Landscape ของโครงการทั้งหมด ทางโครงการแอบกระซิบมาว่าแค่ค่าโครงสร้างของส่วนนี้ก็มีมูลค่าถึงร้านกว่าล้านแล้วนะคะ เพราะทำค่อนข้างยากทีเดียว เรียกว่าเป็นความตั้งใจของแสนสิริที่อยากจะมอบสิ่งดีดีให้กับลูกบ้านค่ะ
จากทางเข้าโครงการจะมีที่จอดรถสำหรับ Visitor อยู่ด้านหน้า และถ้าตรงเข้าไปด้านหลังก็จะเป็นส่วน Service ของอาคารค่ะ
ส่วนทางฝั่งซ้ายมือวนอ้อมไปด้านหลังอาคารตามเส้นทางรถยนต์ไป จะมีทางลงสู่ที่จอดรถชั้นใต้ดินแยกกับทางวนสู่ Drop – off ที่ด้านหน้าอาคารค่ะ
บริเวณด้านหน้าโครงการเราจะเห็นพื้นที่สีเขียว หรือเป็นส่วน Dogs’ Park นั่นเอง
โครงการนี้นับว่าเป็นหนึ่งใน Pet Friendly Condominium สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ทั้งน้องหมาน้องแมวขนาดไม่เกิน 10 กก. แต่ก็มีสัตว์อยู่ 3 ประเภทที่ทางโครงการไม่ให้เลี้ยง นั่นก็คือสัตว์ประเภท นก, หนู และสัตว์เลื้อยคลานค่ะ ส่วนเส้นทางการสัญจรของน้องๆ ทางโครงการจะให้ใช้ Service Lift เท่านั้น นั่นก็เพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านคนอื่นๆ ด้วยค่ะ ภายในสวนนี้ก็จะมีสนามเด็กเล่นของน้องๆ และมีจุดอำนวยความสะดวกสำหรับชำระล้างให้ด้วย
ต้นจามจุรีต้นใหญ่ที่ทางโครงการรักษาเอาไว้ถูกนำมาปลูกเอาไว้ในสวนนี้ 1 ต้นค่ะ สามารถให้ร่มเงาและสร้างความร่มรื่นให้กับสวนนี้ได้เป็นอย่างดี สังเกตทางโครงการออกแบบเส้นสายภายในสวนแบบ Organic เน้นความสวยงามที่ดูเป็นธรรมชาติ
กลับมาบนเส้นทางของรถยนต์เราอ้อมมาที่ด้านหลังอาคาร จะมีทางแยกฝั่งขวาลงไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน และมีทางแยกฝั่งซ้ายที่จะพาเราอ้อมไปยังจุด Drop – off เพื่อเข้าสู่ตัวอาคาร สังเกตที่ฝั่งซ้ายบริเวณรั้วของโครงการ มีการทำ Landscape ในแนวตั้งหรือ Vertical Garden ที่มีความสูงถึง 6 เมตรเลย ซึ่งนอกจากจะทำให้โครงการดูเป็นส่วนตัวและปลอดภัยแล้ว ยังทำให้ภาพรวมของโครงการเป็นสีเขียว ทำให้รู้สึกสบายและสดชื่นขึ้นมาเลย
เราลงมาดูที่ชั้นจอดรถใต้ดินกันค่ะ ชั้นจอดรถใต้ดินจะมีทั้งหมด 6 ชั้นด้วยกันรวมถึง 192% สามารถจอดได้ห้องละ 1 – 2 คันเลยค่ะ โดยทางเดินรถจะเป็นแบบ Two Way สามารถขับสวนกันได้
ที่นี่จะมีที่จอดรถแบบ Fixed เอาไว้ให้ด้วยสำหรับห้อง 3 Bedrooms ขึ้นไป จะเห็นเลขที่บ้านอยู่ที่พื้นช่องจอดรถค่ะ ส่วนหมายเลขธรรมดาคือที่จอดรถแบบทั่วไป ใครมาก่อนได้จอดก่อน และช่องจอดรถของที่นี่จะมีขนาดใหญ่พิเศษ สามารถจอดรถหรูคันใหญ่ได้ เวลาจอดรถแล้วสามารถเปิดประตูลงง่ายไม่เบียดเสียด
สำหรับลูกบ้านของโครงการ จากชั้นจอดรถใต้ดินก็จะมีทางเดินสามารถเชื่อมสู่โถงลิฟท์ภายในอาคารได้เลยค่ะ สะดวกมากๆ
นอกจากนี้ยังมีทางเข้าสู่ชั้นจอดรถใต้ดินอีก 1 ทางนะคะ ซึ่งเส้นทางนี้จะเป็นของคนขับรถ เป็นโถงลิฟท์แยกที่ชั้น G บริเวณอาคารด้านหน้า
ด้านในนี้เป็นส่วน Chauffeurs’ Lounge เชื่อมต่อกับโถงลิฟท์ลงสู่ชั้นจอดรถ
ทางโครงการเลือกใช้ลิฟท์ของ Kone ค่ะ ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมายเพราะนับว่าเป็นลิฟท์ส่วน Service ที่แยกส่วนกับลูกบ้าน
กลับขึ้นมาที่ชั้น G ค่ะ ถ้าเราขับรถตามทางแยกฝั่งซ้ายวนมาที่ด้านหน้าอาคารก็จะเป็นจุด Drop – off สำหรับรับ – ส่งลูกบ้านเข้าสู่ Lobby สังเกตว่ามีหลังคาคลุมช่วยกันแดดกันฝนเวลาลงจากรถได้
ภายใน Lobby หรือ โถงต้อนรับ ถูกออกแบบมาอย่างโอ่อ่า หรูหรา เสมือนเป็นห้องนั่งเล่นใหญ่ของบ้าน ด้วยฝ้าเพดานสูงโปร่ง และวัสดุที่ใช้ตกแต่งเลอค่า สอดคล้องกับแนวคิดหลัก “Luxury in Space” ใช้หินอ่อนธรรมชาติจากอิตาลี Palissandro Classico Marble ทั้งพื้น และพิเศษที่ผนังต่อเป็นลาย Bookmatch อย่างสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ส่วนเสาบริเวณโถงล็อบบี้ทั้งหมดกรุด้วยหนัง Cowhide Full Grain ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นส่วนของหนังวัวที่มีคุณภาพดีที่สุด พร้อมตกแต่งด้วยอลูมิเนียมสีทองสลับไปมาอย่างลงตัว และเพิ่มรสนิยมด้วยไฟกิ่งแบบหินเรืองแสงที่เรียกว่า Alabaster
สังเกตที่ฝ้าเพดานของโถงจะเห็น Chandelier ซึ่งถือเป็นอีก 1 จุดเด่นของโครงการ ที่รังสรรค์โดย LASVIT ผู้ออกแบบและผลิตประติมากรรมเครื่องแก้วชั้นนำจากสาธารณรัฐเช็ก หนึ่งในแบรนด์ระดับ Luxury อันเป็นที่นิยมในหมู่ราชวงศ์ทั่วโลก ที่สืบทอดเทคนิคงานคราฟท์ผลิตแก้วจากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 200 ปี โดยออกแบบขึ้นเป็นพิเศษแบบ Tailor Made และใช้เทคนิคการเป่าแก้วขั้นสูงในการขึ้นรูป และนำมาประกอบโดยใช้ช่างฝีมือทั้งหมด
นี่ถือเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซหนึ่งเดียวในโลก มีเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น นอกจากส่วน Lobby แล้วก็จะมีที่ Mail Room, Meeting Room และ Kid’s Room (Play Room) ซึ่งจะถูกออกแบบในแนวคิดที่แตกต่างกันออกไปค่ะ ถือว่า The Monument ทองหล่อ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยโครงการแรกเลยนะคะที่ LASVIT มาร่วมงานด้วย
ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ทางโครงการเลือกใช้นั้นก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กันค่ะ อย่างโซฟาสีขาวตัวนี้ก็เป็นโซฟาขนห่านพิเศษจาก Flexform ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ชื่อดังอย่าง Antonio Citterio นอกจากจะมีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ โอ่อ่า โดดเด่น สง่างาม และให้ความรู้สึกอบอุ่นแล้ว ก็ยังนั่งสบายมากๆ สมเป็นเฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ระดับโลก
เฟอร์นิเจอร์อีกชิ้นที่มีความน่าสนใจก็คืออาร์มแชร์จากแบรนด์ Fendi Casa ที่มีทรวดทรงโค้งเว้าเหมือนสรีระผู้หญิงในสี Rosewood
อีกทั้งยังประดับส่วน Lobby ด้วยงานศิลปะที่สะท้อนถึงความเป็นครอบครัว จาก Salvatore Gallo ชาวฝรั่งเศสในปี 1970 ชื่อผลงาน “Maternity Abstract” ขึ้นรูปด้วย Plaster และ Resin
และยังมีงานศิลปะและงานประติมากรรมอื่นๆ อีกมากมายที่ทางแสนสิรินำมาประดับไว้ตามสถานที่ต่างๆ ในโครงการ เพื่อสะท้อนถึงคุณค่าทางวัตถุ และทางจิตใจ จากแนวคิดในการนำเสนอโครงการระดับเวิลด์คลาส ที่เปี่ยมด้วยรายละเอียดเปรียบเหมือนงานศิลปะภายใต้ 4 ปรัชญา คือ
นอกจากนี้ภายใน Lobby ก็จะมีเคาน์เตอร์บริการ All Suite Butler ซึ่งเชี่ยวชาญในไลฟ์สไตล์แต่ละด้าน คอยเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน เสมือนมี Hotelier ในคอนโดมิเนียม โดยอบรมหลักสูตร British Butler Institute โดย Nai Lert Butler ประกอบด้วย Director of Living ผู้ดูแลการอยู่อาศัยของลูกบ้าน และ Butler Concierge ผู้อำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้าน บริหารจัดการโดย PLUS Property ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลลูกบ้านกว่า 20 ปี และมีประสบการณ์ดูแลลูกบ้านระดับลักซ์ชัวรี่กว่า 5 ปี ส่วนบริการด้านไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยย่านทองหล่อ ได้แก่
นอกจากนี้ ยังมีบริการรถลีมูซีนสำหรับลูกบ้านที่สามารถเรียกใช้บริการได้แบบเป็นครอบครัว และบริการรับจอดรถยนต์ (Valet Parking) อีกด้วยค่ะ
จาก Lobby จะเชื่อมสู่ Lift Lobby ค่ะ ซึ่งส่วนนี้เราจะต้องสแกน Key Card ในการเปิดประตูผ่านเข้าไป เพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของลูกบ้าน
Lift Lobby ที่เชื่อมกับ Lobby จะเป็น Lift Lobby ที่ 1 มีการออกแบบตกแต่งที่ล้อมาจากส่วน Lobby ใช้หินอ่อน Palissandro Classico Marble ต่อเป็นลาย Bookmatch เช่นกัน ภายในโถงมีลิฟท์โดยสารอยู่ 2 ตัว ตรงกลางโถงประดับด้วยชุดโต๊ะคริสตัลที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนถึง 36 ชิ้น เป็นอีก 1 ผลงานศิลปะของโครงการ ซึ่งจากส่วน Lift Lobby นี้จะเชื่อมกับโถงทางเดินต่อไปยัง Mail Room และ Lift Lobby ที่ 2 ฝั่งด้านหลังโครงการ
ภายใน Lift lobby ก็จัดชุด Armchair ดีไซน์หรูเอาไว้ให้อยู่ 1 คู่นะคะ เผื่อนั่งพักรอก่อนขึ้นไปบนห้องพักอาศัย ด้านหลังก็มีสวน Vertical Garden เป็นวิวให้พักผ่อนสายตาได้
ส่วนลิฟท์ของทางโครงการนั้นจะเป็น Private Lift ที่ใช้ระบบ First Come First Served คือจะขึ้นไปส่งลูกบ้านที่ชั้นพักอาศัยที่เป็นเป้าหมายโดยตรง โดยไม่มีการแวะรับหรือส่งคนที่ชั้นอื่นๆ กลางทาง ดังนั้นการใช้ลิฟท์นั้นจะเป็น Private Lift จริงๆ ได้ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยมาก เพราะจะไม่มีลูกบ้านคนอื่นๆ ขึ้นลิฟท์มาพร้อมกับเราได้ แถมยังมีจำนวนลิฟท์ถึง 4 ตัวต่อลูกบ้านทั้งหมด 127 ยูนิต คิดเป็น 1 : 32 นับว่าเป็น Traffic การใช้งานลิฟท์ที่น้อยมากๆ แล้ว
ลิฟท์ที่ทางโครงการเลือกใช้นั้นจะเป็นลิฟท์แบบ 2 ประตูขนาดใหญ่จาก Kone เป็นลิฟท์ความเร็วสูง รองรับได้ 17 คน/เที่ยว หรือ 1275 กก. ภายในตกแต่งอย่างสวยงาม และใช้พื้นหินอ่อน Palissandro Classico Marble เหมือน Lobby โดยลูกบ้านจะต้องเลือกสแกนบัตรและกดเลือกชั้นที่ประตูลิฟท์ฝั่งห้องพักอาศัยของตัวเอง ซึ่งพอประตูลิฟท์เปิดออกแล้วจะเข้าสู่ห้องพักอาศัยโดยตรงเลยค่ะ
จาก Lift Lobby เชื่อมต่อกับทางเดินผ่านส่วน Mail Room ตรงไปยัง Lift Lobby อีกฝั่งหนึ่ง
ภายใน Mail Room มีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามไม่แพ้ส่วน Lobby เลยค่ะ จริงๆ แล้วกล่อง Mail Box ที่ใช้จริงๆ จะสูงเพียงระดับที่สามารถเปิดใช้งานสะดวกเท่านั้น แต่ทางโครงการได้ตกแต่งล้อขึ้นไปจนถึงฝ้าเพดานเพื่อความสวยงามค่ะ เรียกว่าทางแสนสิริได้ลงทุนในดีเทลต่างๆ จริงๆ และสังเกตทั้ง 2 ฝั่งจะมีช่องสำหรับทิ้งเศษกระดาษจากการฉีกซองจดหมายเตรียมเอาไว้ให้เพื่อความสะดวกของลูกบ้าน พร้อมจัดสตูลสำหรับนั่งพักอ่านเอกสาร มองผ่านหน้าต่างไปด้านหลังก็ได้วิวจากสวน Vertical Garden ที่ทางโครงการตั้งใจออกแบบเอาไว้ให้ และแน่นอนว่า Chandelier นี้ก็เป็นผลงานจาก LASVIT อีกเช่นกัน
เราเดินตรงไปจนสุดทางเดินจะเชื่อมกับ Lift Lobby ที่ 2 ฝั่งด้านหลัง มีการประดับประดาเหมือนกับฝั่งด้านหน้าค่ะ นอกจากนี้จะมีประตูด้านข้างสามารถเปิดออกสู่สวนของโครงการ และมีบันไดขึ้นชั้น 2 เชื่อมกับ Fitness, Yoga Room และ Kid’s Room รวมถึง Lift Lobby ชั้น 2 ได้ เดี๋ยวเราจะเดินออกไปด้านนอกอาคารเพื่อไปชมสวนของโครงการกันก่อน จากนั้นเราจะไปดู Facilities ที่ชั้น 2 กันค่ะ
สวนด้านหลังโครงการนี้มีพื้นที่ประมาณ 200 ตร.วา ค่ะ ถ้าคิดเป็นมูลค่าที่ดินในย่านนี้ก็มีค่าเป็นหลายสิบล้านแล้ว ซึ่งทางแสนสิริก็ตั้งใจมอบพื้นที่ส่วนนี้ให้เป็นพื้นที่ส่วนกลางของลูกบ้านแทน ออกแบบ Landscape มาอย่างร่มรื่นสวยงาม และทางโครงการก็ได้ใช้ต้นจามจุรีขนาดใหญ่ที่เก็บรักษาเอาไว้จากที่ดินเดิมมาปลูกลงในสวนนี้ด้วยสร้างร่มเงาขนาดใหญ่ให้กับสวน ซึ่งภายในสวนนี้จะยังประกอบไปด้วย พื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน, Tree House และ Educational Playground ค่ะ
จุดเด่นหลักๆ ภายในสวนเลยก็จะเป็น Tree House หรือบ้านต้นไม้นี้แหละค่ะ สังเกตบริเวณตรงกลางมีการเจาะช่องเพื่อให้ต้นจามจุรีสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้
บริเวณชั้นล่างของ Tree House ก็จะเป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนภายในร่ม
ซึ่งทำม้านั่งต่อเนื่องออกไปในส่วนกลางแจ้ง ออกแบบใช้ทรงโค้งแบบ Organic ล้อไปกับธรรมชาติ
ส่วนพื้นที่ชั้นบนของ Tree House ก็สามารถขึ้นมานั่งเล่น รับลม และชมวิวสวนแบบ Over All ได้เหมือนกันค่ะ บรรยากาศนี่ดีมากๆ รู้สึกว่าได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นจริงๆ
ภาพรวมของสวนในมุมต่างๆ สวนนี้มีการออกแบบแบบเล่นระดับ มีทางเดินสำหรับวนรอบสวนได้ และมีม้านั่งอยู่รอบๆ ใต้ต้นไม้และต้นจามจุรีหลายจุดให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ
อีกทั้งยังมีสไลเดอร์ทรงใบไม้ให้เด็กๆ สามารถเล่นได้ เข้ากับบรรยากาศของสวนได้เป็นอย่างดี นับว่าทางแสนสิริใส่ใจกับรายละเอียดออกแบบแม้ในจุดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ปล่อยเลย ส่วน Educational Playground นั้นทางแสนสิริได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวชในการพัฒนาขึ้นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการด้านร่างกาย และเพิ่มพูนทักษะการเจริญเติบโตของเด็กๆ ปัจจุบันยังสร้างไม่เสร็จนะคะ แต่จะอยู่ในบริเวณสนามหญ้าของสวนด้านหลังโครงการนี้เองค่ะ
จากสวนด้านหลังโครงการ เราสามารถใช้บันไดภายนอกเดินขึ้นชั้น 2 เพื่อไปยังส่วน Fitness, Yoga Room และ Kid’s Room ได้ หรือเราจะกลับเข้าไปด้านใน Lift Lobby เพื่อใช้ลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้น 2 ก็ได้เหมือนกัน
เราเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้น 2 กันแล้ว จะมีประตูแยกฝั่งซ้ายและขวา ฝั่งซ้ายคือประตูทางเข้าส่วน Fitness, Yoga Room และ Kid’s Room ซึ่งเป็น Function ที่จะมีการใช้เสียงเหมือนกันเลยถูกจัดเอาไว้อยู่ในโซนเดียวกัน ส่วนฝั่งขวาคือประตูทางเข้า Lift Lobby ฝั่งด้านหลังโครงการที่จะเชื่อมไปสู่ Meeting Room, The Parlour และ Swimming Pool ค่ะ ซึ่งทั้ง 2 ประตูนี้เราจะต้องใช้ Key Card ในการเปิดประตูเพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของลูกบ้าน จุดนี้มีข้อดีอยู่ตรงที่เวลาออกกำลังกายใน Fitness เสร็จแล้วก็สามารถลงไปยืดเส้นยืดสาย หรือเดินเล่นรับลมในสวนต่อได้เลย หรือเด็กๆ ที่เล่นอยู่ใน Kid’s Room เองก็สามารถลงไปวิ่งเล่นที่สวนต่อได้โดยตรง ไม่ต้องผ่าน Lift Lobby ให้มีเสียงดังรบกวน Facilities ส่วนอื่นๆ ภายในอาคารนั่นเองค่ะ
เราเดินเข้าประตูฝั่งซ้ายมือมาจะเป็นโถงทางเดินเชื่อมต่อไปยัง Fitness ห้องฝั่งซ้ายมือ, Play Room ห้องกลางโถง และ Yoga Room ห้องฝั่งขวามือค่ะ
ระหว่างโถงทางเดินเราจะเห็นงานศิลปะของ Tapon (Pseudonym) ซึ่งเป็นศิลปินนักประพันธ์ฝรั่งเศสในปี 1950 เทคนิค Oil on Canvas ประดับเอาไว้ที่ฝาผนัง
เรามาดูภายในห้อง Fitness กันก่อนค่ะ ที่ฝ้าเพดานทำเป็นลวดลายกิ่งไม้พร้อม Lighting ที่ส่องลงมา ได้อารมณ์เหมือนการออกกำลังกายท่ามกลางธรรมชาติ ผนังโดยรอบห้องใช้ผนังกระจกทั้งหมดเพื่อให้ได้วิวทิวทัศน์รอบๆ โครงการรวมถึงวิวจากสวนด้านหลังโครงการด้วย ส่วนเครื่องออกกำลังกายที่จัดมาให้ก็มีหลากหลายครบครัน
ส่วนแรกของห้องจะเป็นโซน Weight Training ที่มีเครื่องออกกำลังกายและดัมเบลมาให้ครบชุด
และเครื่องออกกำลังกายที่โดดเด่นที่สุดในห้องนี้ก็เห็นจะเป็นเจ้าเครื่อง ICAROS ที่เป็นเครื่องออกกำลังกายแบบ Virtual Reality หรือ VR นั่นเอง ซึ่ง ICAROS นั้นจะบังคับให้คุณเกร็งตัวและใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ซึ่งเพิ่มความสนุกด้วยการรองรับ Application ใน Samsung Gear VR รวมถึงระบบอื่นๆ ด้วย หากใครใช้งานไม่เป็นก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปค่ะ เพราะทางโครงการนั้นมี Healthologist เป็นเทรนเนอร์ดูแลสุขภาพ คอยให้คำปรึกษาการใช้เครื่องออกกำลังกาย
ส่วนอีกโซนหนึ่งของห้องก็คือโซน Cardio นั่นเองค่ะ
นอกจากนี้ภายใน Fitness ยังมีผ้าขนหนูและน้ำแร่คอยให้บริการอีกด้วย หากใช้ผ้าจนหนูเสร็จแล้วก็สามารถหย่อนลงไปในช่องของรถเข็นได้เลย
ติดกับห้อง Fitness ก็จะเป็น Playroom นั่นเองค่ะ ซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กๆ ที่อยู่ใกล้กับบริเวณ Fitness ให้ลูกบ้านวัยเยาว์ได้เพลิดเพลินไปกับของเล่นต่างๆ ขณะที่คุณพ่อและคุณแม่กำลังออกกำลังกายอยู่นั่นเอง ห้องนี้มีการตกแต่งแบบเรียบๆ เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ไม่มีเหลี่ยมมุมปลอดภัยสำหรับเด็กๆ
เครื่องเล่นภายในห้องถูกหุ้มด้วยหนังอย่างดีทั้งหมดเพื่อกันกระแทกและกันล้ม
ภายในห้องยังติดตั้งทีวีเอาไว้เปิดรายการสำหรับเด็กๆ ได้เรียนรู้กัน
ที่ฝ้าเพดานก็เป็น Chandelier ผลงานของ LASVIT อีกเช่นกัน ซึ่งดีไซน์ได้แรงบันดาลใจมาจาก Lollipop สีสันสดใส
สุดท้ายคือ Yoga Room โดยรอบห้องติดกระจกเงาให้ทั้งหมด เพื่อให้สามารถเช็คท่าทางให้ถูกต้องได้ จริงๆ แล้วห้องนี้ยังสามารถใช้เป็นห้องอเนกประสงค์สำหรับกิจกรรมอื่นๆ ก็ได้นะคะ อย่างการเต้นบัลเล่ต์, แจ๊ส ก็เหมาะมากเพราะมีทั้งบาร์และกระจกโดยรอบให้สามารถส่องดูการเคลื่อนไหวของร่างกายได้
คราวนี้เราเข้ามาด้านใน Lift Lobby ฝั่งด้านหลังอาคารกันต่อ ซึ่งจากส่วนนี้จะมีโถงทางเดินเชื่อมต่อไปยัง Meeting Room, ห้องน้ำ, The Parlour และ Swimming Pool ได้
เข้ามาภายในส่วนโถงทางเดินทางฝั่งขวามือของเราก็คือ Meeting Room 2 ห้อง ฝั่งซ้ายมือคือทางเชื่อมไปยังห้องน้ำ และถ้าเดินไปสุดโถงทางเดินจะเชื่อมต่อกับ Lift Lobby ฝั่งด้านหน้าโครงการที่จะเชื่อมต่อไปยัง The Parlour และ Swimming Pool ค่ะ
Meeting Room นั้นจะเป็นห้องคุยงานขนาดย่อมๆ สามารถเลื่อนประตูปิดกั้นเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ โดยจะใช้บานประตูติดลายผ้าบางๆ เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวแต่ก็ไม่ให้รู้สึกว่าดูทึบตันและดูอึดอัดจนเกินไป
ภายในห้องจัดวางชุดโต๊ะและอาร์มแชร์เอาไว้ให้ 2 ตัว เป็นการคุยงานแบบค่อนข้างเป็นส่วนตัวหน่อย ประมาณ 2 คนเท่านั้นค่ะ สังเกตที่ฝ้าเพดานก็ประดับด้วย Chandelier จาก LASVIT อีกเช่นเคย
บริเวณโถงทางเดินนี้ก็ประดับด้วยผลงานศิลปะอีกเช่นกัน เป็นงานประติมากรรมจาก Plaster ชื่อผลงาน The Family ซึ่งไม่ทราบชื่อของศิลปินและปีที่ได้รังสรรค์ผลงาน ซึ่งทางโครงการนั้นประมูลมาจากสหรัฐอเมริกาค่ะ
จากโถงทางเดินเชื่อมมาถึง Lift Lobby dฝั่งด้านหน้าโครงการ เราจะเห็นประตูทางฝั่งขวามือ นั่นก็คือประตูทางเข้าส่วน The Parlour นั่นเองค่ะ
จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Lift Lobby นี้ก็คือชิ้นงานศิลปะ Murano Gilded Glass เป็นเครื่องแก้วเคลือบทองที่ถูกทำขึ้นอย่างพิถีพิถันในเกาะมูราโนแห่งเวนิส ประเทศอิตาลี ในปี 1980 ซึ่งมีเพียง 2 คู่ในโลกเท่านั้น และ 1 คู่นั้นก็ถูกนำมาประดับในโครงการ The Monument ทองหล่อแห่งนี้แล้วค่ะ
เราเดินเข้ามาสู่ The Parlour เป็น Lounge อเนกประสงค์ของโครงการที่ลูกบ้านสามารถมาใช้นั่งพักผ่อน ทำงาน อ่านหนังสือ รองรับแขก จิบเครื่องดื่มเย็นๆ หรือจะใช้จัดงานปาร์ตี้กับเพื่อนบ้านในโครงการได้ พร้อมชมวิวสระว่ายน้ำได้ในตัว
ภายในห้องนี้ก็มีการจัดเฟอร์นิเจอร์เอาไว้อยู่หลายชุด เพื่อรองรับการใช้งานของลูกบ้าน
ซึ่งภายในห้องนี้จะเป็นจุดที่ Mixologist คอยบริการรังสรรค์เครื่องดื่มให้กับลูกบ้านค่ะ นอกจากนี้ภายในห้องนี้จะมีเคาน์เตอร์บาร์ซึ่งภายในจะมีตู้แช่ไวน์ให้ลูกบ้านนำไวน์มาฝากเอาไว้ได้ด้วย
สังเกตโต๊ะอ่านหนังสือขนาดใหญ่นี้ เป็นโต๊ะจากไม้จามจุรีขนาดใหญ่ที่เป็นเนื้อเดียวกันหมดทั้งโต๊ะเลยค่ะ
ประตูอีกฝั่งหนึ่งของ The Parlour จะเป็นทางเชื่อมเดินไปถึงห้องน้ำชาย – หญิงได้ค่ะ
ภายในโถงทางเข้าห้องน้ำก็มีการจัดตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงามไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ของโครงการเลย นอกจากจะมีม้านั่งสำหรับพักคอยแล้ว ยังมีบริการเสื้อคลุมอาบน้ำและผ้าเช็ดตัวเอาไว้ให้ด้วยค่ะ
เราเดินเข้าไปดูภายในห้องน้ำกันต่อเลย
และแน่นอนว่าสไตล์การตกแต่งของห้องน้ำก็ไม่ทำให้เราผิดหวังอีกเช่นเคย ด้วยวัสดุหินอ่อนแท้จากอิตาลีและการจัด Lighting ที่สวยงามที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้เกิดความผ่อนคลาย ภายในห้องน้ำจะประกอบไปด้วย ส่วนอ่างล้างมือ, ล็อกเกอร์, ห้องน้ำ, ห้องอาบน้ำ และ Steam Room ค่ะ
ภายในห้องน้ำและห้องอาบน้ำ
ส่วนล็อกเกอร์
และ Steam Room ที่มีบรรยากาศน่าผ่อนคลาย
และจาก The Parlour ก็จะมีสะพานเชื่อมต่อไปยัง Swimming Pool ที่อยู่ด้านหน้าโครงการค่ะ
Swimming Pool เป็นสระว่ายน้ำน้ำกรองระบบเกลือ คือใช้น้ำที่ผ่านการกรองแล้วมาทำเป็นน้ำของสระว่ายน้ำนั่นเอง ตัวสระนั้นถูกออกแบบมาในทรง Free Form ที่มีขนาดถึง 28 x 9.5 เมตรเลยค่ะ
ด้านข้างสระยังถูกตกแต่งด้วย Vertical Garden ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโครงการ แถมยังเป็นรั้วที่ช่วยบังส่วนสระว่ายน้ำจากเพื่อนบ้านข้างเคียงได้อีกด้วย
และในสระจะมีทั้งเครื่องเจ็ทและมีสระเด็กอยู่ด้วย สังเกตที่วัสดุปูพื้นของสระคือหิน White Cloud สีขาวเทา ที่สร้างความสวยงามให้กับสระเป็นอย่างมาก ทำให้โครงการดูมีมูลค่าขึ้นมาอีกเยอะเลย
ส่วนบริเวณด้านข้างสระก็มี Pool Bed ให้ลูกบ้านสามารถมานอนเล่นพักผ่อน อาบแดด หรือชมท้องฟ้ายามค่ำคืนได้
นอกจากนี้ก็ยังมีห้องกระจกสำหรับนั่งพักผ่อนข้างๆ สระอยู่อีก 2 ห้องด้วยกันค่ะ
ในวันที่อากาศร้อนๆ เด็กๆ ก็อยากลงมาว่ายน้ำ ทางโครงการจึงได้ออกแบบห้องพักผ่อนนี้เอาไว้รองรับบรรดาคุณพ่อคุณแม่ขี้ร้อนโดยเฉพาะเลยค่ะ เพราะภายในจะติดเครื่องปรับอากาศให้ แถมยังมีโต๊ะ – เก้าอี้สำหรับนั่งพักผ่อน และยังเป็นจุดที่สามารถมองดูเด็กๆ เล่นน้ำกันได้ถนัดด้วย
ห้องข้างๆ กันก็เป็นห้องสำหรับนั่งพักผ่อนอีกห้องนึงค่ะ ซึ่งในอนาคตทางโครงการจะนำชั้นบริการผ้าเช็ดตัวและชุดคลุมอาบน้ำมาให้บริการกันที่จุดนี้ด้วย
:::: ห้องตัวอย่าง ::::
ในวันนี้ทางทีมงาน Condonayoo ก็จะพาท่านผู้อ่านทุกคนไปชมห้องตัวอย่างของโครงการด้วยกันทั้งหมด 2 ห้องเหมือนเคย จะเป็นห้อง 2 Bed 2 Bath ขนาด 124.25 ตร.ม. และห้อง 3 Bed 3 Bath ขนาด 252.25 ตร.ม. ค่ะ ซึ่งห้องพักอาศัยภายในโครงการถูกออกแบบจากแนวคิด Luxury is Space และ THE MONUMENT TO GENERATIONS สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหมือนกับอยู่บ้านเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเป็นส่วนตัว หรือด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ อีกทั้งยังใช้วัสดุตกแต่งภายในที่หรูหราไม่แพ้ส่วนกลางของโครงการ ห้องมาตรฐานของโครงการนั้นจะตกแต่งให้แบบ Fully Fitted ได้ชุดครัว, สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ, ชุด Built – in และเครื่องปรับอากาศ มาครบยกเว้นพวกเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว เราไปดูรายละเอียดภายในห้องด้วยกันเลย
::: ห้อง 2 Bed 2 Bath ขนาด 124.25 ตร.ม. :::
ห้อง 2 Bed 2 Bath ขนาด 124.25 ตร.ม. จะเป็นห้องแปลงมุมอาคารทั้งหมดเพราะมีเพียง 4 ยูนิต/ชั้นเท่านั้น พอเราเดินออกจากลิฟท์มาก็จะเจอส่วน Foyer หรือโถงต้อนรับก่อน ถัดเข้ามาจาก Foyer เข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัยซึ่งแบ่งออกเป็น 2 โซนด้วยกัน โซนแรกจะเป็น Living Area ออกแบบพื้นที่มาในลักษณะ Semi – outdoor เชื่อมกับ Dinning Area และห้องครัว รวมกันเป็นโถงขนาดใหญ่ และจากห้องครัวจะมีประตูด้านหลังสามารถเปิดออกสู่ Service Corridor ได้ ส่วนอีกโซนหนึ่งของห้องจะเป็นบริเวณพื้นที่พักผ่อน ประกอบด้วยห้องนอน 2 ห้องพร้อมห้องน้ำในตัว ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวสูงในเรื่องการใช้งาน และมีห้องน้ำแบบ Powder Room แยกให้ต่างหากสำหรับแขก หรือสำหรับใช้ระหว่างวันไม่ต้องเดินเข้าไปด้านในห้องนอน ข้อดีของห้องแปลงมุมบบนี้ก็คือทำให้ได้ช่องแสงขนาดใหญ่มาถึง 2 ฝั่ง และสามารถเปิดรับวิวได้อย่างเต็มที่ ห้องนี้เป็นห้องที่เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก – ขนาดกลาง ต้องการพื้นที่ใช้สอยแบบบ้านเดี่ยว พร้อมวิวและความสะดวกสบายแบบคอนโดมิเนียม
เรามาดูรายละเอียดของห้องตัวอย่างด้วยกันเลยค่ะ พอเราขึ้นลิฟท์มาถึงห้องแล้วเดินออกมาก็จะมาเจอส่วน Foyer หรือโถงต้อนรับก่อน เป็นจุดที่เราสามารถนั่งใส่และถอดรองเท้าได้ และเป็นส่วนที่ช่วยกันไม่ให้สิ่งสกปรกจากภายนอกเลอะเทอะเข้าไปยังพื้นที่ส่วนอื่นๆ ภายในห้องด้วยค่ะ จริงๆ แล้วที่ส่วนนี้ทางโครงการจะทำประตูบานเฟี้ยมกั้นส่วนเอาไว้ให้ด้วยเพื่อความเป็นส่วนตัวมากขึ้น สังเกตว่าลิฟท์ที่พาขึ้นมาส่งถึงห้องได้จะมีถึง 2 ตัวให้ใช้เสริมกัน หากลิฟท์อีกตัวนึงกำลังมีการตรวจเช็คสภาพซ่อมแซมอยู่ หรือมีลูกบ้านท่านอื่นกำลังใช้งานอยู่ ก็ยังสามารถใช้ลิฟท์อีกตัวขึ้นมาส่งถึงห้องแทนได้
จุดที่น่าสนใจของห้องนี้ก็คือพื้นส่วน Foyer นั่นเองค่ะ ทางโครงการเลือกใช้หินอ่อน White Venus Marble ในการปูพื้นห้องและเก็บงานบัวพื้นทั้งหมด (ยกเว้นห้องนอนที่ใช้ Engineering Wood) แต่ส่วนที่ Foyer นั้นจะต่อเป็นลาย Bookmatch ให้ เป็นลวดลายที่ดูสวยงาม สร้างมูลค่าให้กับตัวห้องได้ดี
จากส่วน Foyer จะเชื่อมต่อกับพื้นที่อยู่อาศัยภายในห้อง ก็คือ Living Area เชื่อมกับ Dinning Area และห้องครัว สังเกตว่าห้องนี้มีความสว่างและโปร่งโล่งมากเพราะได้ช่องแสงขนาดใหญ่มาเต็มผนังเลย ฝ้าเพดานก็สูงถึง 3 เมตร ส่วนฝ้าบางส่วนภายในห้องอย่างบริเวณ Foyer จะดรอปลงมาที่ 2.7 เมตรเพราะมีเครื่องปรับอากาศแบบฝังฝ้าติดตั้งเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนผนังและฝ้าเพดานเป็นฝ้าฉาบเรียบทาสี พร้อมไฟ LED แบบฝังฝ้า
เรามาดูในส่วนของ Living Area กันก่อนค่ะ
พื้นที่ของ Living Area นั้นมีขนาดใหญ่ สามารถวางชุดโซฟาเบดหรือโซฟารูปตัว L ขนาดใหญ่ๆ ได้สบายๆ ตามที่ห้องตัวอย่างจัดมาให้ดูก็คือสามารถรองรับโซฟาขนาด 3 ที่นั่ง พร้อมโต๊ะกาแฟขนาดใหญ่, อาร์มแชร์ 2 ตัว และสตูลอีก 2 ตัว กำลังพอดีลงตัวกับพื้นที่ห้อง
ฝั่งตรงข้ามห้องตัวอย่างทำชั้นวางทีวีแบบ Built – in พร้อมผนังตกแต่งให้ดูเป็นไอเดีย ซึ่งระยะดูทีวีขนาดนี้ สามารถดูทีวีจอขนาด 70 นิ้วได้สบายๆ เลยค่ะ
บริเวณหน้าต่างตรงห้องนั่งเล่นถูกดีไซน์มาให้มีขนาดบานใหญ่ เป็นหน้าต่างแบบวิทโก้ สามารถเปิดได้ประมาณ 45 องศาเพื่อความปลอดภัยของลูกบ้าน ทำให้ได้พื้นที่ลักษณะเหมือน Semi – outdoor ซึ่งตรงนี้ทางโครงการออกแบบราวกันตกเป็นกระจกบานเปลือยใสเพื่อไม่ให้บดบังทัศนียภาพ โดยใช้กระจก Tempered Glass ค่ะ
ส่วนช่องแสงหรือกระจกหน้าต่างทั้งหมดภายในโครงการ จะใช้เป็น Insulated Laminate Low-E ที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนได้มากถึง 50% ป้องกันรังสี UV 90% และป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้มากถึง 30% แม้ว่าห้องจะมีช่องแสงเยอะขนาดนี้ แต่ก็ไม่ร้อน และยังเงียบได้ความเป็นส่วนตัวดีเพราะแทบไม่ได้ยินเสียงรถยนต์จากภายนอกเลยด้วย
ถัดจากส่วน Living Area เข้ามาทางฝั่งซ้ายมือก็จะเป็น Dinning Area และห้องครัว ซึ่งถ้าหากใครกลัวเรื่องกลิ่นเวลาปรุงอาหารก็สามารถทำประตูบานเลื่อนกระจกกั้นส่วนระหว่างห้องนั่งเล่นกับ Dinning Area และห้องครัวได้ค่ะ
ส่วน Dinning Area นี่จริงๆ แล้วสามารถวางเป็นโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 6 ที่นั่งได้เลยนะคะ
ห้องมาตรฐานเราจะได้เคาน์เตอร์ครัวพร้อม Island ตรงกลางมาแบบนี้เลย แม้จะเป็นห้องในคอนโดมิเนียมแต่ก็มีพื้นที่สำหรับใช้ทำอาหารได้อย่างเต็มที่ค่ะ ซึ่งชุดครัวที่เราจะได้มานั้นจะเป็นของ Binova นำเข้าจากอิตาลีประกอบด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก Smeg และ อ่างล้างจานจาก Franke สังเกตเห็นประตูอีกบานหนึ่งด้านหลังห้องครัวจะเป็นประตูที่สามารถเปิดเชื่อมกับ Service Corridor ได้
ส่วนแรกเป็นตู้เย็นแบบ Built – in 2 ประตูจาก Smeg หน้าบานของตู้เย็นและบานเปิด Built – in ทั้งหมดปิดผิวด้วย Semi – gloss มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี อย่างในห้องตัวอย่างห้องนี้เป็นสีขาว
ถัดมาเป็นเคาน์เตอร์ครัว ซึ่งทางโครงการเลือกใช้ Top ครัวและ Backsplash หิน Calacatta Belgia สีขาวลวดลายดูสวยงาม พร้อมฝังอ่างล้างจานและเตา Induction มาให้แล้ว ส่วนบริเวณบนเคาน์เตอร์ก็ทำเป็นตู้สำหรับเก็บของให้เรียบร้อย
อ่างล้างจานจาก Franke มีขนาดใหญ่ สังเกตที่ก้นอ่างทำเป็น Slope ลงท่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้มีน้ำเหลือขังภายในอ่าง ส่วนก๊อกน้ำก็สามารถปรับหมุนซ้ายขวาได้ใช้งานได้สะดวก
เตา Induction จาก Smeg ขนาด 4 หัว แต่ทางฝั่งขวาเป็นแบบ Multi Zone จึงสามารถใช้กระทะใหญ่ทรงยาวแบบพวกเทปันยากิได้ หรือจะแบ่งเป็นเตาเล็กปกติก็ได้ค่ะ ซึ่งเตานี้จะนำความร้อนเฉพาะโลหะ จึงปลอดภัยในการใช้งาน เพราะต่อให้เอามือไปวางบนเตาที่กำลังเปิดใช้งานอยู่ก็ไม่ร้อน แต่ต้องระวังคนที่สวนแหวนโลหะนะคะจะลวกมือเอาได้
ส่วนด้านบนเตาปรุงอาหารก็ติดตั้งเครื่องดูดควันเอาไว้ให้เรียบร้อย
ใต้เคาน์เตอร์ครัวก็มีช่องสำหรับให้เก็บอุปกรณ์ในการทำครัวได้มากมาย ส่วนบริเวณใต้อ่างล้างจานจะซ่อนถังขยะเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ
ช่องสำหรับใส่พวกอุปกรณ์ครัวชิ้นเล็กๆ อย่าง ช้อน – ส้อม, มีด, ตะเกียบ และอื่นๆ
ตู้เก็บของด้านข้างอีก 1 ตู้ พร้อมติดตั้งเตาอบ + เตาไมโครเวฟในเครื่องเดียวจาก Smeg เช่นกัน
ส่วน Top ของเคาน์เตอร์ Island ใช้หิน Calacatta Belgia อีกเช่นกันค่ะ ใต้เคาน์เตอร์ก็เต็มไปด้วยพื้นที่สำหรับจัดเก็บอุปกรณ์เครื่องครัว
ส่วนพื้นที่สำหรับยืนเตรียมอาหารก็กว้างประมาณ 1 เมตรเศษๆ เป็นระยะที่เหมาะสมและสะดวกในการใช้งาน
นอกจากนี้ข้างๆ ประตูทางออกสู่ Service Corridor ยังมีตู้ Built – in สำหรับวางเครื่องซักผ้าและเก็บอุปกรณ์ในการซักรีดเอาไว้ให้อีก 1 ตู้ด้วยค่ะ
จากห้องครัวเราสามารถเปิดเชื่อมสู่ Service Corridor ได้ผ่านประตูบานนี้ค่ะ
ภายใน Service Corridor นี้จะประกอบด้วยห้องงานระบบต่างๆ ของอาคารรวมถึงห้องวาง Condensing Unit ของห้องพักอาศัยด้วย ถ้าเราจะพาน้องหมาน้องแมวของเราออกไปเดินเล่น เราจะต้องใช้ทาง Service Corridor นี้ไปที่ Service Lift เพื่อที่จะลงไปชั้นล่าง แยกกับทางสัญจรของลูกบ้านปกติ เพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านคนอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวไปในช่วงต้นๆ ของรีวิวนะคะ ส่วนบันไดหนีไฟก็จะอยู่ภายใน Service Corridor นี้ด้วยเช่นกัน เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเกิดเพลิงไหม้ ลูกบ้านทุกคนจะต้องใช้เส้นทางนี้ในการออกจากตัวอาคาร
ข้อดีของ Service Corridor ที่นอกจากจะทำให้พื้นที่ภายในห้องเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่า และมีพื้นที่ใช้สอยอย่างเต็มที่แล้ว เวลาที่มีช่างมาซ่อมบำรุงก็สามารถให้ช่างขึ้นมาทาง Service Lift และทำการซ่อมบำรุงงานระบบอยู่ภายใน Service Corridor นี้โดยไม่ต้องเดินผ่าน Lift Lobby หรือเดินผ่านภายในห้องของลูกบ้านเลยค่ะ ซึ่งจุดนี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกบ้านได้รับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยอย่างแท้จริง
และนี่ก็คือผังทางหนีไฟของอาคารค่ะ จะติดเอาไว้ให้ที่บริเวณ Service Corridor
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของห้องจะเข้าสู่โซนพักผ่อนหรือห้องนอนนั่นเองค่ะ มีโถงทางเดินกลางห้องเชื่อมจาก Living Area ไปยังห้องนอนและห้องน้ำได้
เข้ามาภายในโถงทางเดินแล้วเราจะเห็นประตูฝั่งทางซ้ายคือตู้เก็บรองเท้า, ด้านในสุดของโถงเป็นห้องนอน 2 ห้อง และฝั่งขวาของโถงคือห้องน้ำค่ะ
ทางโครงการได้ทำตู้เก็บรองเท้า Built – in เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว โดยที่หน้าบานของตู้ใช้กระจกเงาเต็มบาน เวลาแต่งตัวเสร็จกำลังจะออกข้างนอกห้องก็สามารถใช้กระจกตรงนี้เป็นจุดเช็คความเรียบร้อยได้ค่ะ สังเกตที่ด้านบนของตู้ยังใช้เป็นที่ซ่อนตู้ไฟฟ้าเพื่อความเรียบร้อยของห้องด้วย
เรามาดูห้องน้ำหรือ Powder Room กันต่อค่ะ
รายละเอียดที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของห้องก็คือ ชุดมือจับประตูทุกชุดนั้นจะเป็นแบบก้านโยกที่ใช้แม่เหล็กแทนตัวลิ้นที่ทำให้ตัวบานประตูยึดปิดเอาไว้ ข้อดีของตัวแม่เหล็กนี้ก็คือจะทำให้การเปิด – ปิดประตูทุกครั้งไม่มีเสียง ไม่รบกวนสมาชิกอื่นๆ ภายในบ้านค่ะ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณภรรยาต้องลุกมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน เวลาเปิด – ปิดประตูก็จะไม่มีเสียงรบกวนคุณสามีที่นอนหลับอยู่นั่นเอง
พื้นที่ภายในห้อง Powder Room จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ระยะการใช้งานในการเข้าห้องน้ำหรือล้างมือก็สะดวกค่ะ
ห้อง Powder Room จะเป็นห้องน้ำส่วนกลางสำหรับใช้งานร่วมกันในครอบครัวและเป็นห้องน้ำสำหรับรองรับแขกที่มาเยี่ยมเยือน ทั้งพื้นและผนังของห้องน้ำตกแต่งด้วยหินอ่อน White Venus ทั้งหมด ส่วนอ่างล้างหน้าใช้หินอ่อน Calacatta Belgia แบบเดียวกันกับเคาน์เตอร์ครัว สุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำใช้ของ Cotto และ Gessi ค่ะ
อ่างล้างมือเป็นอ่างฝังบนเคาน์เตอร์ของ Cotto พร้อมก๊อกน้ำแบบผสมของ Gessi ซึ่งทางโครงการมีการติดตั้ง Boiler และเดินท่อน้ำร้อน – น้ำเย็นเอาไว้ให้ทุกจุดพร้อมใช้งาน
ด้านหลังกระจกเงาทางโครงการทำตู้สำหรับเก็บของขนาดใหญ่ให้แบบนี้
อีกทั้งยังติดตั้งโคมไฟระบบ Sensor เอาไว้ให้ด้วยค่ะ แค่เอามือเข้าไปไว้ที่ด้านใต้ตู้กระจกเงาก็จะสามารถปิด – เปิดไฟตรงกระจกได้ จุดนี้ทางโครงการออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกของลูกบ้านเวลาที่ล้างมือเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องหยิบจับอะไรในห้องน้ำอีกซึ่งอาจจะมีเชื้อโรคอยู่ทุกส่วนค่ะ
ความพิเศษของห้อง Powder Room ก็คือเราจะได้โถสุขภัณฑ์ระบบอัตโนมัติของ Cotto มาด้วย
และมีรีโมทควบคุมติดตั้งเอาไว้ให้ที่ผนังด้านข้างค่ะ
เดินเข้ามาจนสุดโถง เราจะเจอห้องนอนอีก 2 ห้องค่ะ ฝั่งซ้ายคือห้องนอน Master และฝั่งขวาคือห้องนอนรอง
ประตูห้องนอนก็จะเป็นประตูบานทึบแบบนี้ ดีไซน์ไม่ต่างจากประตูห้องน้ำ ส่วนชุดมือจับประตูก็จะเป็นแบบแม่เหล็กที่ทำให้การเปิด – ปิดประตูนั้นแทบจะไม่มีเสียงเลยค่ะ
ห้อง Master Bedroom มีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่ไม้แพ้บ้านเดี่ยว สามารถวางเตียงนอนขนาดใหญ่ได้สบายๆ เลย ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าพื้นห้องนอนทั้งหมดจะปูด้วย Engineering Wood แทนพื้นหินอ่อนนะคะ เพื่อให้สัมผัสที่อบอุ่น เหมาะกับการพักผ่อนมากกว่า
พอวางเตียงนอนขนาด 6 ฟุตแล้วก็ยังเหลือพื้นที่ด้านข้างเตียงทั้ง 2 ฝั่งอย่างกว้างขวาง สามารถเดินผ่านได้สะดวก และสามารถวางโต๊ะข้างได้ด้วย
ส่วนพื้นที่ปลายเตียงนอนก็ยังเหลืออีกเยอะพอสมควรค่ะ เราสามารถวางสตูลปลายเตียง พร้อมโต๊ะทำงานได้อีก 1 ตัว และใช้ทีวีแบบแขวนผนังแทน
และเนื่องจากว่าห้องของโครงการเป็นห้องแปลงมุมทั้งหมด ภายในห้องนอนทุกห้องก็จะได้ช่องแสงขนาดใหญ่มาเต็มผนังเลยค่ะ โดยจะแบ่งช่องสำหรับหน้าต่างบานเปิดให้สามารถเปิดระบายอากาศได้
ภาพจากบริเวณริมหน้าต่างมองย้อนกลับเข้ามาภายในห้อง
อีกฝั่งหนึ่งของห้องจะมีประตูบานเลื่อนกระจกสีชา กั้นส่วน Walk – in Closet และห้องน้ำออกจากพื้นที่พักผ่อน
ดีไซน์มือจับของประตูและหน้าต่างของห้องในโครงการจะเป็นแบบเรียบๆ เนียนไปกับตัวบานเพื่อความสวยงามไม่เยิ่นเย้อ
ทางโครงการจะทำตู้ Built – in มาให้เรียบร้อยพร้อมเข้าอยู่ค่ะ แต่ก่อนที่เราจะทำสัญญาการซื้อ – ขายห้อง เราสามารถเลือกรูปแบบของตู้เสื้อผ้ามาใส่เองได้ตามต้องการ ซึ่งทางโครงการจะมีให้เราเลือกทั้งหมด 4 รูปแบบด้วยกัน และนี่ก็คือ 1 รูปแบบที่ทางโครงการมีให้เลือก
มีลิ้นชักสำหรับเก็บของและช่องสำหรับเก็บเครื่องประดับ
อีกทั้งยังมีตู้เซฟมาให้ด้วยนะคะ เป็นตู้ที่สามารถทนความร้อนได้ถึง 1,000 องศา ในเวลา 1 – 2 ชม. ส่วนประตูด้านข้างฝั่งขวามือคือประตูห้องน้ำค่ะ
ภายในห้องน้ำมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางสมเป็นห้องน้ำของ Master Bedroom
ห้องน้ำของ Master Bedroom นับว่าเป็น 1 จุดเด่นของห้องนี้เลยค่ะ เพราะภายในห้องน้ำจะได้ผนังกระจกสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานมาแบบเต็มผนัง เรียกว่าสามารถอาบน้ำพร้อมชมวิวเมืองได้พร้อมๆ กัน ที่พื้นและผนังตกแต่งด้วยหินอ่อนสีดำแทน เคาน์เตอร์อ่างล้างมือใช้หินอ่อนสีขาว ส่วนสุขภัณฑ์ใช้ของ Cotto และ Gessi เหมือนเดิม
อ่างล้างมือใช้แบบฝังบนเคาน์เตอร์พร้อมก๊อกน้ำล้างมือแบบผสมดีไซน์สวย ใช้รุ่น Top จากแบรนด์ Gessi เลยค่ะ
ทางฝั่งขวามือของห้องเป็นส่วนของอ่างอาบน้ำแบบลอยตัว ดีไซน์เรียบแต่หรูหรา สามารถนอนแช่น้ำพร้อมชมวิวเมือง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าในวันที่อ่อนล้า ลูกบ้านสามารถเรียกใช้บริการ Romanceologist ให้ขึ้นมาทำกลิ่น Aroma Therapy พร้อมตีฟองและโรยกลีบดอกไม้ในอ่างอาบน้ำได้ตามที่ชอบ
ด้านข้างอ่างติดตั้งก๊อกน้ำและฝักบัวอาบน้ำแบบลอยตัวให้
ส่วนทางฝั่งซ้ายของห้องน้ำจะกั้นส่วนด้วยกระจกบานเลื่อน Tempered Glass ขนาดใหญ่ กั้นส่วนระหว่างโถสุขภัณฑ์และโซน Shower ค่ะ
ซึ่งภายในห้องน้ำ Master Bedroom ก็จะได้โถสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติเหมือน Powder Room เลยค่ะ
ข้างกันฝั่งติดผนังกระจกเป็นโซน Shower ภายในติดตั้ง Rain Shower พร้อม Hand Shower และราวปรับระดับมาให้ พร้อมกับจานวางสบู่ด้วย ซึ่งผนังฝั่งนี้จะตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวแทนค่ะ
ทั้งพื้นที่นั่งบริเวณโถสุขภัณฑ์และพื้นที่ยืนอาบน้ำมีความกว้างขวางอยู่พอสมควรนะคะ สะดวกในการใช้งานไม่อึดอัด
คราวนี้เรามาดูห้องนอนรองกันต่อ พื้นที่ภายในห้องก็มีขนาดใหญ่ไม่แพ้ห้อง Master Bedroom เลย สามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุตได้ แล้วยังมีพื้นที่เหลือให้จัดมุมพักผ่อนส่วนตัวเพิ่มได้ตามความชอบค่ะ
พอวางเตียงนอนขนาด 6 ฟุตแล้วก็ยังเหลือพื้นที่โดยรอบเตียงนอนค่อนข้างกว้างขวาง
ในห้องตัวอย่างสามารถวางอาร์มแชร์สำหรับนั่งพักผ่อน และวางโต๊ะทำงานที่ใช้เป็นโต๊ะเครื่องแป้งได้ในตัว
พื้นที่ฝั่งปลายเตียงนอนเหลือเป็นพื้นที่ทางเดิน สามารถเดินผ่านได้สะดวก สำหรับคนที่ชอบดูทีวีตอนกลางคืนแนะนำให้ใช้ทีวีแบบแขวนผนังนะคะ จะประหยัดพื้นที่ได้ดีกว่า
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของห้องจะเป็นห้องน้ำในตัวและตู้เสื้อผ้าอยู่ด้านข้าง
ตู้เสื้อผ้า Built – in แบบบานเปิด ใช้หน้าบานเป็นกระจกเงาสามารถเช็คความเรียบร้อยเวลาแต่งตัวได้
ห้องน้ำภายในห้องนอนรองจะมีขนาดเล็กกว่าห้องน้ำ Master อยู่พอตัวค่ะ แต่ฟังก์ชั่นการใช้งานก็ครบครันสำหรับการใช้งานแล้ว
อ่างล้างมือใช้แบบฝังบนเคาน์เตอร์พร้อมก๊อกน้ำแบบผสม ใช้รุ่นที่ดรอปลงมาจากห้อง Master ค่ะ
ด้านหลังกระจกเงาก็มีชั้นสำหรับใช้เก็บของได้ดี
โถสุขภัณฑ์ในห้องนี้เป็นแบบธรรมดา แต่ก็เป็นรุ่นที่มีดีไซน์สวยงามค่ะ
ด้านในสุดของห้องคือโซน Shower ติดตั้งฉากกั้นกระจก Tempered Glass มาให้เรียบร้อย
พื้นที่ยืนอาบน้ำภายในกว้างขวาง สามารถอาบน้ำได้สะดวก
ภายในติดตั้ง Rain Shower พร้อม Hand Shower มาให้
และยังเจาะผนังทำเป็นชั้นวางสบู่ให้ทั้ง 2 ฝั่งอีกด้วยค่ะ
นอกจากนี้สวิตช์และปลั๊กไฟที่ทางโครงการเลือกใช้ก็มีดีไซน์ที่สวยงามจาก Legrand
รวมถึงมี Smart Tablet ที่คอยควบคุมระบบ Automation ภายในห้อง ติดตั้งเอาไว้ให้ที่ส่วน Foyer ด้วยค่ะ เรียกว่าเป็นมาตรฐานของโครงการระดับ Ultimate Luxury ที่ต้องมีอยู่แล้ว
::: ห้อง 3 Bed 3 Bath ขนาด 252.25 ตร.ม. :::
ห้อง 3 Bed 3 Bath ขนาด 252.25 ตร.ม. เป็นห้องขนาดใหญ่ขึ้นมาจากห้อง 2 Bed 2 Bath ที่เราเข้าไปชมกันมาเมื่อสักครู่ขึ้นมาอีกเท่าตัวเลยค่ะ ห้องนี้จะมีเพียง 2 ห้อง/ชั้นเท่านั้น จึงได้ช่องแสงมาถึง 3 ด้านเลยค่ะ ขนาดพื้นที่ของห้องนั้นสามารถจัดการฟังก์ชั่นได้เหมือนกับบ้านเดี่ยวชั้นเดียวหลังใหญ่ๆ เลยนะ ซึ่งพื้นที่ของห้องนี้หลักๆ จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกันค่ะ คือส่วนอยู่อาศัย, ส่วนพักผ่อน และส่วน Service
พอเราออกมาจากลิฟท์แล้วจะเจอ Foyer เป็นโถงต้อนรับเหมือนเดิม จากส่วน Foyer จะเชื่อมกับ Balcony ซึ่งเป็นพื้นที่แบบ Semi – outdoor ที่ทำหน้าที่เชื่อมฟังก์ชั่นของห้องเข้าด้วยกัน ทางฝั่งซ้ายมือของ Balcony จะเชื่อมต่อไปยังส่วน Pantry และส่วน Service ที่ประกอบด้วย ห้องน้ำ, ครัวไทย, ส่วนซักรีด และห้องแม่บ้าน ส่วนทางฝั่งขวามือของ Balcony จะเชื่อมต่อไปยังโถงขนาดใหญ่ซึ่งเป็นส่วนพักผ่อน ที่ประกอบด้วย Living Area และ Dinning Area ซึ่งจากโถงนี้จะมีทางเดินเชื่อมสู่ส่วนพักผ่อนหรือห้องนอนอีก 3 ห้องนั่นเองค่ะ ห้องที่เราจะพาไปดูนี้เป็นห้องมาตรฐานนะ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เราเห็นภายในห้องคือเราได้ตามนั้นหมดทุกอย่างเลย
เรามาดูรายละเอียดของห้องตัวอย่างด้วยกันเลยค่ะ พอเราขึ้นลิฟท์มาถึงห้องแล้วเดินออกมาก็จะมาเจอส่วน Foyer หรือโถงต้อนรับก่อน ซึ่งทางโครงการจะทำประตูบานเลื่อนเป็นบานเกล็ดไม้กั้นส่วนเอาไว้ให้ด้วยเพื่อความเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ก็ไม่ให้ดูปิดทึบจนเกินไป
ซึ่งพื้นภายในห้อง ทางโครงการเลือกใช้หินอ่อน White Venus Marble ในการปูพื้นห้องทั้งหมด (ยกเว้นห้องนอนที่ใช้ Engineering Wood และส่วน Balcony ที่ใช้พื้นไม้สน) แต่ส่วนที่ Foyer นั้นจะต่อเป็นลาย Bookmatch ให้ เป็นลวดลายที่ดูสวยงาม สร้างมูลค่าให้กับตัวห้องเช่นเดิมค่ะ
จากส่วน Foyer จะเชื่อมต่อกับส่วน Balcony ซึ่งทางโครงการตั้งใจออกแบบมาให้เป็น Semi – outdoor Space ค่ะ เราสามารถเปิดประตูบานเฟี้ยมออกจนสุดได้เลย ที่พื้นและฝ้าเพดานปูด้วยแผ่นไม้สนตีเว้นร่อง พร้อมทำระบบระบายน้ำเอาไว้ให้เรียบร้อย เผื่อในวันที่ฝนสาด หรือต้องการจัดมุมสวนหย่อมภายในห้อง ส่วนฝั่งซ้ายและขวาจะกั้นส่วนจาก Pantry และ Living Area ด้วยประตูบานเลื่อนกระจกขนาดใหญ่ สามารถเปิดเชื่อมฟังก์ชั่นทั้งหมดเข้าด้วยกันก็ได้ค่ะ
และเนื่องจากว่าห้องนี้มีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางมาก ทางโครงการจึงออกแบบให้ห้องนี้มีฝ้าเพดานที่สูงถึง 3.3 เมตรเลย เพื่อให้ปริมาตรของห้องดูสมดุลกัน ส่วนฝ้าบางส่วนภายในห้องอย่างบริเวณ Foyer จะดรอปลงมาที่ 3 เมตรเพราะมีเครื่องปรับอากาศแบบฝังฝ้าติดตั้งเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนผนังและฝ้าเพดานเป็นฝ้าฉาบเรียบทาสี พร้อมไฟ LED แบบฝังฝ้าเหมือนเดิม
พอเราเปิดประตูบานเฟี้ยมออกทั้งหมด ก็จะทำให้พื้นที่ห้องนี้เป็น Semi – outdoor Space ทันที โดยจะมีระเบียงกันตกให้อยู่ภายนอกค่ะ วิวจากชั้นบนๆ นี้ตอนกลางคืนคงจะสวยน่าดู
ภาพมองย้อนกลับไปที่ส่วน Foyer
จาก Balcony เราจะเข้าไปดูภายใน Pantry และโซน Service กันต่อ ซึ่งส่วนนี้เวลาที่เราไม่อยู่บ้านก็สามารถล็อคประตูเอาไว้ได้เลย สามารถให้แม่บ้านอยู่เฉพาะส่วน Service เลยได้ค่ะ
เข้ามาภายในส่วน Pantry หรือครัวฝรั่ง เราก็จะได้ชุดตู้ Built – in และเคาน์เตอร์หินอ่อนเหมือนห้องที่ผ่านมาค่ะ ทางโครงการเลือกใช้หน้าบาน Built – in เป็นสีเทาอมเขียวๆ ให้เราดูเป็นตัวอย่าง ก็สวยไปอีกแบบนะคะ แม้ว่าส่วนนี้จะเรียกว่า Pantry แต่ก็สามารถใช้ทำอาหารได้แบบจริงจังเลย เพราะมีเตาปรุงอาหารแบบ Induction, เครื่องดูดควัน, อ่างล้างจาน, มีหน้าต่างระบายอากาศ และมีประตูบานเลื่อนสำหรับกั้นส่วนห้องมาในห้องด้วยอยู่แล้ว สังเกตที่ฝั่งซ้ายมือจะมีประตูที่เชื่อมต่อกับส่วน Service ค่ะ
ชุดครัวที่เราจะได้มานั้นจะเป็นของ Binova นำเข้าจากอิตาลีประกอบด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก Smeg และ อ่างล้างจานจาก Franke มาเหมือนเดิม
ตู้เย็นเราจะได้มาครึ่งเดียวจากห้องที่แล้วค่ะ เพราะในห้องครัวไทยจะมีช่องวางตู้เย็นขนาดใหญ่เตรียมเอาไว้ให้ และในส่วน Dinning Area ก็จะมีตู้เย็น Built – in มาให้อีกตู้
ถัดมาเป็นเคาน์เตอร์ครัวพร้อมเตา Induction ขนาดใหญ่กว่าเดิม ส่วนบริเวณบนเคาน์เตอร์ก็ทำเป็นตู้สำหรับเก็บของให้เรียบร้อย
เตา Induction ขนาดใหญ่พร้อมส่วน Multi – function รองรับภาชนะโลหะได้หลายขนาด
ใต้เคาน์เตอร์ครัวก็มีช่องสำหรับให้เก็บอุปกรณ์ในการทำครัวได้มากมาย
ฝั่งด้านข้างมีทั้งช่องเก็บของรวมถึงติดตั้งเตาไมโครเวฟและเตาอบแบบแยกกันให้ 2 เครื่อง
ใต้เคาน์เตอร์ Island ก็เต็มไปด้วยพื้นที่สำหรับจัดเก็บอุปกรณ์เครื่องครัว แถมยังมีเครื่องล้างจานเพิ่มขึ้นมาให้อีก 1 เครื่อง
ซึ่งอ่างล้างจานจะติดตั้งมาให้ตรงเคาน์เตอร์ Island เพื่อให้สามารถเตรียมอาหารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
อีกฝั่งหนึ่งของ Island ติดตั้งแผ่นไม้ขึ้นมาความสูงพอๆ กับโต๊ะบาร์ เป็นมุมสำหรับนั่งทานอาหารแบบง่ายๆ ได้
จาก Pantry จะเชื่อมสู่โถงทางเดินไปยังส่วน Service ประตูทางฝั่งซ้ายมือคือทางออกสู่ Service Corridor ประตูตรงกลางโถงคือประตูห้องครัว, ห้องซักรีด และห้องแม่บ้าน ส่วนประตูทางฝั่งขวามือคือประตูห้องน้ำ Powder Room ค่ะ
พื้นที่ภายใน Powder Room ห้องนี้ค่อนข้างใหญ่ขึ้นมาพอสมควรค่ะ มีการใช้วัสดุและสุขภัณฑ์ไม่ต่างจากห้องที่ผ่านมา
อ่างล้างหน้าใช้อ่างฝังบนเคาน์เตอร์เหมือนเดิม พร้อมก๊อกน้ำผสมรุ่น Top ของ Gessi ที่ผนังด้านข้างเจาะผนังเข้าไปทำเป็นชั้นวางของให้
โถสุขภัณฑ์ได้แบบระบบอัตโนมัติมาเหมือนเดิม ผนังรอบๆ เจาะช่องตกแต่ง Lighting สามารถใช้วางหนังสืออ่านเล่นภายในห้องน้ำ หรือขวดน้ำหอม และของกระจุกกระจิกใช้ตกแต่งได
เข้ามาภายในส่วน Service ของห้อง จะเป็นส่วนของครัวไทย, ส่วนซักรีด และห้องแม่บ้านค่ะ พื้นห้องส่วนนี้ทั้งหมดจะปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้เรียบๆ สีขาวขนาด 60 x 60 ซม.
ในส่วนของครัวไทยทางโครงการก็จะใช้ชุดเคาน์เตอร์ครัวขนาดใหญ่มาให้แบบนี้ค่ะ Top ครัวเป็นหินแกรนิตสีดำ ตัวเคาน์เตอร์ปิดผิวดวยลามิเนตลายไม้ ส่วน Backsplash กรุด้วยกระเบื้องสีไข่ไก่
พร้อมติดตั้ง Hob ขนาด 4 หัว และ Hood ดูดควันของ Mex มาให้
อ่างล้างจานแบบ 2 หลุมแบ่งเป็นช่องสำหรับล้างจานที่สกปรกกับล้างพวกผักผลไม้สดแยกกัน
บริเวณใต้เคาน์เตอร์ก็มีช่องสำหรับเก็บอุปกรณ์สำหรับทำครัวให้มากมาย
รวมถถึงชั้นเหนือเคาน์เตอร์ด้วยค่ะ ทางโครงการให้แบบเต็มที่ รองรับอุปกรณ์ในการทำอาหารได้หลากหลายชนิด
ฝั่งตรงข้ามกับเคาน์เตอร์ครัวมีช่องสำหรับวางตู้เย็นขนาดมาตรฐานได้ 1 ตู้ เหมาะสำหรับเอาไว้เก็บพวกของสด ของที่ดูไม่ค่อยสวยงาม หรือของที่มีกลิ่น ที่ไม่อยากเอาไปเก็บไว้ตรงครัวฝรั่ง
อีกฝั่งหนึ่งของส่วน Service ก็คือส่วนซักรีดและห้องแม่บ้านค่ะ
ทางโครงการได้ทำช่องสำหรับวางเครื่องซักผ้า เตาอบ และอุปกรณ์สำหรับการซักรีดเอาไว้ให้เรียบร้อย พร้อมประตูบานเลื่อนสามารถเปิดเพื่อใช้งาน และปิดเพื่อซ่อนความไม่เรียบร้อยและกันฝุ่นได้ สังเกตที่ตรงฝ้าเพดานของช่องนี้ มีพัดลมดูดอากาศมาช่วยจัดการดูดความชื้นให้ด้วย
และก็ยังมีดีเทลเล็กๆ ในตู้ เป็นปุ่มสามารถกดออกมาให้เป็นราวแขวนเสื้อผ้าที่เพิ่งรีดเสร็จได้ด้วยค่ะ
เข้ามาภายในห้องแม่บ้านมีขนาดห้องกำลังพอดีๆ สำหรับแม่บ้านจำนวน 1 คน พื้นที่ห้องใหญ่พอสามารถวางเตียงขนาด 3 ฟุตและโต๊ะข้างได้ ส่วนพื้นที่ผนังที่เว้าเข้าไปด้านข้างประตูก็สามารถวางตู้เสื้อผ้าขนาดย่อมๆ หรือทำเป็นตู้ Built – in เพื่อให้พอดีกับพื้นที่ค่ะ
ซึ่งภายในห้องแม่บ้านก็จะมีห้องน้ำให้ในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้รวมกับเจ้าของบ้าน วัสดุและสุขภัณฑ์ทั้งหมดใช้รุ่น Standard ได้มาตรฐานค่ะ
คราวนี้เราจะเข้าไปดูในส่วนอยู่อาศัยกันต่อค่ะ
พื้นที่ห้องส่วนนี้เป็น Living Area และ Dinning Area ขนาดใหญ่มากๆ เทียบเท่าพื้นที่ของบ้านเดี่ยวราคาเป็นสิบล้านเลยนะ สามารถจุกิจกรรมของคนจำนวน 20 คนได้แบบสบายๆ ค่ะ
ด้วยพื้นที่ห้องที่ใหญ่ขนาดนี้เราสามารถออกแบบจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ตามใจชอบเลย ถ้าตามผังของโครงการแล้วจะวาง Living Area เอาไว้ทางฝั่งหน้าต่าง ส่วน Dinning Area จะวางเอาไว้ด้านในติดกับ Built – in Pantry ส่วนวิวของห้องนี้เรียกได้ว่าเป็นวิวแบบ Panoramic View เลยทีเดียว รอดูตอนกลางคืนนี่คงสวยมากแน่นอนค่ะ
และนี่ก็คือชุด Built – in Pantry ที่ทางโครงการให้มากับตัวห้องด้วย คือออกแบบมาให้ดูเรียบ แต่หรู และสวยงาม ฟังก์ชั่นการใช้งานก็สะดวกครบครันแล้ว ไม่จำเป็นต้องรื้อทิ้งทำใหม่เลยนะ ทุกส่วนจะมีบานเปิดให้ทั้งหมด และตัวบานเปิดยังสามารถ Slide เก็บเข้าช่องข้างตู้ได้ ช่วยประหยัดพื้นที่ได้ดีเลยค่ะ
อย่างทางฝั่งซ้ายนี้ก็มีช่องสำหรับเก็บของมากมายหลายช่องจริงๆ คือถ้ามีการจัดระเบียบข้าวของเครื่องใช้เข้าตู้แล้ว ห้องนี้จะเป็นห้องที่ดูเรียบร้อยเลยทีเดียวค่ะ และอาจยังมีพื้นที่ตู้เหลือด้วย นอกจากนี้ทางโครงการยังให้ตู้แช่ไวน์และเครื่องกดน้ำมาด้วย
อีกฝั่งนึงมีเคาน์เตอร์เป็น Pantry สำหรับเตรียมเครื่องดื่ม ซึ่งทางโครงการจะให้ตู้เย็น Built – in ตรงจุดนี้มาอีก 1 ตู้ค่ะ
ใต้เคาน์เตอร์ก็มีลิ้นชักสำหรับเก็บพวกแก้วน้ำได้
และภายในโถงนี้เองก็เป็นส่วนที่ติดตั้ง Smart Tablet สำหรับควบคุมระบบ Automation ภายในห้องค่ะ
จากส่วน Living & Dinning Area จะเชื่อมต่อกับโถงทางเดินไปยังส่วนพักผ่อนหรือห้องนอนอีกทั้ง 3 ห้องนั่นเอง ห้องแรกทางฝั่งซ้ายมือคือห้องนอนเล็ก, ถัดเข้าไปคือห้อง Master Bedroom ส่วนห้องที่อยู่ทางฝั่งขวามือคือห้องนอนรอง ซึ่งพื้นห้องนอนทุกห้องจะปูด้วย Engineering Wood นะคะ
เข้าไปภายในห้องนอนเล็กที่สุดกันก่อน ส่วนแรกจะเป็นโถงทางเดินมีห้องน้ำอยู่ฝั่งซ้าย และตู้เสื้อผ้า Built – in อยู่ที่ฝั่งขวา
ภายในห้องน้ำเล็กจะใช้วัสดุและสุขภัณฑ์เหมือนห้องที่แล้วทุกประการค่ะ
ทางฝั่งขวามือของห้องเป็นส่วนอ่างล้างมือแบบฝังบนเคาน์เตอร์และโถสุขภัณฑ์ ด้านหลังกระจกเงาก็มีชั้นสำหรับเก็บของได้เหมือนเดิม
ทางฝั่งซ้ายมือของห้องเป็นโซน Shower มีพื้นที่ยืนอาบน้ำที่ใหญ่พอให้อาบน้ำได้สะดวก ติดตั้งฉากกั้นอาบน้ำมาให้เรียบร้อย
ภายในติดตั้ง Rain Shower พร้อม Hand Shower, ราวปรับระดับ และเจาะผนังทำชั้นวางขวดสบู่ให้เรียบร้อย
พื้นที่ส่วนพักผ่อนภายในห้องนอนเล็กจริงๆ แล้วก็ไม่เล็กเลยนะคะ ยังสามารถวางเตียงนอนขนาด 5 ฟุตได้พร้อมโต๊ะข้าง รวมถึงโต๊ะทำงานหรือโต๊ะเครื่องแป้งได้สบายๆ เลย
เราเข้ามาดูภายในห้องนอนรองกันต่อค่ะ พื้นที่ห้องสามารถวางเตียง 6 ฟุตพร้อมโต๊ะข้างได้เหมือนกัน แถมยังเหลือพื้นที่ปลายเตียงสามารถใช้เป็นชั้นวางทีวีร่วมกับโต๊ะทำงานและโต๊ะเครื่องแป้งได้
ที่ผนังฝั่งขวาของห้องจะมีตู้เสื้อผ้า Built – in ขนาดใหญ่ ครึ่งหนึ่งทำหน้าบานเป็นกระจกเงา และมีประตูเชื่อมสู่ห้องน้ำในตัวค่ะ
ภายในห้องน้ำรองใช้วัสดุและสุขภัณฑ์ไม่ต่างไปจากห้องน้ำเล็กเลยค่ะ แต่จะมีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า และได้อ่างอาบน้ำแบบ Sexy Bath มาด้วย
เคาน์เตอร์อ่างล้างมือขนาดใหญ่ขึ้น สามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้นโดยเฉพาะเวลาที่ต้องยืนเป่าผม
โถสุขภัณฑ์รุ่นเดิม
โซน Shower อยู่ทางฝั่งซ้ายมือค่ะ
ส่วนทางฝั่งขวามือเป็นอ่างอาบน้ำแบบฝังแบบ Sexy Bath มีกระจกใสตรงส่วนนี้ให้สามารถรับแสงสว่างจากภายนอกได้ แต่ถ้าใครเป็นคนรักความเป็นส่วนตัวก็สามารถหาม่านมู่ลี่มาติดได้ค่ะ
ตามด้วยห้อง Master Bedroom เป็นห้องปิดท้ายค่ะ พอเปิดประตูเข้ามาภายในห้องจะเห็นห้องน้ำอยู่ทางฝั่งขวามือ
ทั้งวัสดุและสุขภัณฑ์จะใช้เหมือนกับห้องน้ำ Master ของห้องที่แล้วทุกประการค่ะ แต่จะมีการตกแต่งห้องด้วยหินอ่อนต่อเนื่องขึ้นไปถึงบนฝ้าเพดานเลย
ส่วนอ่างล้างมือออกแบบให้ดูสวยงามน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น ได้มา 2 อ่างแบบ His & Her สามารถใช้งานห้องน้ำพร้อมกันทีเดียว 2 คนได้เลย
ฝั่งตรงข้ามห้องน้ำเป็นส่วนโถสุขภัณฑ์และโซน Shower กั้นส่วนมาให้เรียบร้อย โดยโถสุขภัณฑ์ก็จะเป็นแบบระบบอัตโนมัติเหมือนเดิมค่ะ
ในโซนอาบน้ำก็ติดตั้ง Rain Shower และ Hand Shower มาให้
ในส่วนของอ่างอาบน้ำจะได้เป็นอ่างแบบลอยตัววางอยู่ติดริมผนังกระจกขนาดใหญ่แบบนี้
ที่ผนังติดตั้ง Smart Mirror ของ Raysgem ให้ สามารถใช้ดูอัพเดทหุ้น หรือดูภาพยนตร์ระหว่างแช่น้ำได้
ส่วนที่ผนังฝั่งตรงข้ามก็มีตู้สำหรับเก็บพวก Bath Bomb และ Aroma Therapy ต่างๆ ที่ใช้คู่กับอ่างอาบน้ำได้
เข้ามาด้านในส่วนพื้นที่พักผ่อนของห้อง Master Bedroom จะเป็นห้องมุมอาคารเหมือน Living Area ที่ได้วิวแบบ Panoramic กันเลยทีเดียว ส่วนพื้นที่ใช้สอยของห้องนั้นแทบไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ เพราะมีพื้นที่ห้องขนาดใหญ่มากอยู่แล้ว จัดวางเฟอร์นิเจอร์อย่างไรก็ลงตัวได้ง่าย
และแน่นอนว่าได้ตู้เสื้อผ้า Built – in ขนาดใหญ่เป็น 2 เท่าตัวของห้องอื่นๆ เลยค่ะ
:::: ราคา (กรกฎาคม 2562) ::::
***ข้อมูลราคา และโปรโมชั่นอาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดติดต่อสำนักงานขายเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
:::: สรุป ::::
ทำเลที่ตั้งโครงการ โครงการ The Monument ทองหล่อ ตั้งอยู่บน ซอยสุขุมวิท 55 หรือ ซอยทองหล่อ เป็นทำเลศักยภาพที่มีความคล่องตัวในการใช้ชีวิต เพราะเป็นทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวก มีตัวเลือกในการเดินทางที่หลากหลาย เป็นแหล่งของการสังสรรค์และเข้าสังคมที่ขึ้นชื่อเรื่องร้านอาหารหรูชิคๆ เก๋ๆ, สถานบันเทิงที่มีชื่อ และ Community Mall อีกทั้งยังเป็นทำเลทองของย่านธุรกิจ เพราะเป็นอีกหนึ่งศูนย์รวมของพวก Office Building นอกจากนี้ยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยยอดนิยมของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เพราะมีคอนโดระดับ Luxury และ Residential Building อยู่อีกหลายเจ้า ที่ดินในย่านนี้จึงมีราคาสูงและก็ยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนอย่างมาก
การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ซอยทองหล่อเป็นเส้นที่เชื่อมระหว่าง ถนนสุขุมวิท และ ถนนเพชรบุรี เดินทางได้สะดวกแต่รถค่อนข้างติด ภายในซอยก็ยังพอมีทางลัดเลาะ ใช้ลัดไปยัง ซอยเอกมัย และ ซอยเส้นปรีดี พนมยงค์ ได้ ถ้าต้องการเข้าเมืองทาง ถนนพระราม 4 ก็จะมี ซอยสุขุมวิท 36 และ 40 ฝั่งตรงข้าม ที่สามารถใช้เชื่อมไปออกพระราม 4 ได้ ส่วน ซอยสุขุมวิท 42 ก็สามารถใช้เชื่อมจาก ถนนพระราม 4 กลับเข้ามายัง ถนนสุขุมวิทได้ค่ะ อีกทั้งตัวโครงการยังใกล้จุดขึ้นลงทางพิเศษฉลองรัช, ทางพิเศษศรีรัช และ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ซึ่งถือเป็นตัวช่วยในการเดินทางได้เป็นอย่างดี
การเดินทางโดยรถสาธารณะ การเดินทางด้วยรถสาธารณะก็นับว่าสะดวกมาก เพราะตัวโครงการอยู่ติดกับซอยทองหล่อ ซึ่งก็มีรถสาธารณะวิ่งผ่านอยู่ตลอดเวลา เรียกรถแท็กซี่และวินมอเตอร์ไซค์ได้ไม่ยาก อีกทั้งทางโครงการยังมี Shuttle Service บริการรถ Bus ไปส่งถึง BTS สถานีทองหล่อ ห่างจากหน้าโครงการประมาณ 2.2 กม. ถ้านั่งรถไปจะใช้เวลาเพียง 7 นาทีเท่านั้น ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีเทาวิ่งมาจากวัชรพลผ่านถนนประดิษฐ์มนูธรรมเส้นทองหล่อ มา Interchange ที่ สถานีทองหล่ออีกด้วย ซึ่งสถานีแจ่มจันทร์จะเป็นสถานีที่ใกล้กับตัวโครงการมากที่สุด
การออกแบบโครงการ และวัสดุ โครงการเป็น High rise Condominium สูง 45 ชั้น ระดับ Ultimate Luxury หรือสูงที่สุดในย่านทองหล่อ ที่เน้นในเรื่องของไลฟ์ไตล์ – รสนิยมการใช้ชีวิต, ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยมากเป็นพิเศษ แถมยังใส่ใจรายละเอียดการออกแบบและตกแต่งในทุกๆ ส่วน ซึ่งทางแสนสิริตั้งใจลงทุนให้กับลูกบ้านทุกคน
การวางแปลนห้องสามารถทำได้อย่างลงตัว ทุกห้องของโครงการเป็นห้องแปลงมุมทั้งหมด พื้นที่สามารถใช้สอยได้สะดวกเพราะพื้นที่ห้องมีขนาดใหญ่ ได้ประสบการณ์การอยู่อาศัยแบบบ้านเดี่ยว ซึ่งทางโครงการตกแต่งห้องมาให้มาแบบ Fully Fitted ได้เฟอร์นิเจอร์ Built – in มาหลายส่วนเพื่อการจัดเก็บของได้อย่างเป็นระเบียบ ฝ้าเพดานภายในห้องสูงกว่า 3 เมตร พร้อมติดตั้งแอร์แบบ Conceal Type ทำให้ห้องดูเรียบร้อยมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังใช้วัสดุตกแต่งภายในที่หรูหราไม่แพ้ส่วนกลางของโครงการ อาทิ White Venue Marble, นำเข้าจากเหมืองหินในประเทศกรีซ ต่อกันเป็นลวดลาย Bookmatch ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกบริเวณพื้นโถงทางเข้า (Foyer), แบรนด์สุขภัณฑ์จาก Gessi, สวิตช์พร้อมระบบ Automation จากแบรนด์ Legrand จากประเทศฝรั่งเศส, ชุดครัว Binova จากประเทศอิตาลี, เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวจาก Smeg (Made in Italy), Top เคาน์เตอร์ครัว, Back Splash ทำจากหิน Calacatta Belgia และใช้กระจกทั้งหมดเป็น Insulated Laminate Low – E ที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนได้มากถึง 50% ป้องกันรังสี UV 90% และป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้มากถึง 30% เป็นต้น ได้ในทั้งเรื่องคุณภาพและความสวยงาม โดยรวมแล้วห้องถือว่าดีมากๆ ค่ะ
สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบรักษาความปลอดภัย ที่นี่ให้ Facilities มาเยอะทีเดียวนะ เทียบกับจำนวนยูนิตของโครงการแล้วถือว่าดีมาก มีรายละเอียดในการออกแบบและใช้วัสดุที่มีมูลค่าในโครงการ และยังไม่รวมถึงงานศิลปะอีกหลายชิ้นที่ทางแสนสิริไปประมูลมาได้ แม้กระทั่งลิฟต์ก็ยังได้เป็นแบบ Private Lift สร้างความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยให้แก่ลูกบ้านมากที่สุด อีกทั้งยังมีบริการเสริมอื่นๆ เสมือนมี Hotelier ในคอนโดมิเนียม ไม่ว่าจะเป็น All Suite Butler Service, Limousine Service, Valet Parking และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ให้ลูกบ้านได้รับประสบการณ์ที่หรูหราเหนือระดับ
:::: สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ::::
CALL CENTER : 1685
WEBSITE : https://www.sansiri.com
หากเพื่อนๆเห็นว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด Like เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงาน ขอบคุณค่ะ
และมีความคิดเห็นหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวโครงการ สามารถ Comment ได้ที่ด้านล่างของรีวิวค่ะ
แสดงความคิดเห็น