EP.328 รีวิว คอนโด พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ Park Origin Thonglor
Written by : Nin Yanin Phueksoongnoen
สวัสดีค่ะผู้อ่านชาว Condonayoo ที่รักทุกคน วันนี้เราจะพามาชมโครงการ Park Origin ทองหล่อ ซึ่งเป็นคอนโด High rise ระดับ Ultimate Class จาก Origin Property กันค่ะ ตัวโครงการอยู่ในซอยทองหล่อ 10 ระหว่างเส้นทองหล่อและเอกมัย แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กทม. ใกล้ DON DON DONKI, J Avenue, The Commons และ Community Malls อีกหลากหลาย ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อ 1.4 กม. และสถานีเอกมัย 1.5 กม. เดินทางสะดวกใกล้ถนนสุขุมวิท, ถนนเพชรบุรี และทางด่วน 3 สายหลัก
พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ เป็น High rise Condominium ระดับ Ultimate Class มี 3 อาคาร สูง 39 ชั้น, 54 ชั้น และ 59 ชั้น บนเนื้อที่ 5 – 3 – 90.9 ไร่ กับห้องพักอาศัยจำนวน 1182 ยูนิต มีห้องให้เลือกแบบ 1 Bedroom, 2 Bedroom, 2 Bedroom Duo Space, 2 Bedroom Plus Duo Space, 2 Bedroom Penthouse และ 3 Bedroom Penthouse ขนาดเริ่มต้นที่ 30.00 – 97.00 ตร.ม.
ภายใต้คอนเซปต์ “A Perfect Living Platform” สมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิตใจกลางเมือง ซึ่งออกแบบได้อย่างโดดเด่น มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เป็นการผสมผสานระหว่าง ธรรมชาติ (Nature) เทคโนโลยี (Technology) และ สังคม (Community) ตกแต่งห้องให้แบบ Fully Fitted พร้อมระบบ Home Automation ไม่ว่าจะเป็น Smart Gateway เชื่อมต่อ Mobile Application, Digital Door Lock, Smart Mirror, Ac Control, Curtain Control, Lighting Control และ Automatic Night Light คาดว่าทางโครงการจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ค่ะ
สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการกว่า 50 รายการ ได้รับการออกแบบมาให้รองรับไลฟ์สไตล์คนเมืองรุ่นใหม่อย่างลงตัว ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่ทันสมัย และมีนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่ทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เรียกหาธรรมชาติ ที่จะช่วยชะล้างจิตวิญญาณจากความวุ่นวายจากโลกภายนอก
อาคาร A ประกอบด้วย Lobby, Garden Space, Jogging Track, Drink Bar, All Day Dinning, Convenience Store, Private Spa, Yoga Fly, Sculpture Pool, Jacuzzi, Gym, Steam Room, Pool View Point, Private Theater, Crystal Box, Golf Simulator, Cigar Corner, North Bar, Game Room, Business Lounge
อาคาร B ประกอบด้วย Lobby, Pool Bar, Lake Lounge, Lake Pool ขนาด 22 เมตร, Wine Cellar, Pool Table, Music Room, Semi – outdoor Party, Co – kitchen, Private Dinning, Sky Theater, Essence Room, Sky Bridge, Sleep Pod
อาคาร C ประกอบด้วย Aqua Lounge, Aqua Bed, Shower Jet, Aqua Chair, Experience Shower, Ice Room, Tree Pool ขนาด 25 เมตร, Skyline Sunset, Onsen Men, Onsen Women, Boxing, Gym, Star Sphere รวมถึง Auto Parking 54%, Access Card Control System, CCTV และ 24 Hour Security
นอกจากนี้ทางโครงการยังมีบริการ “Crown Residence” เป็นบริการสำหรับกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัยระยะยาว บริการในรูปแบบของ Resident Service สำหรับผู้พักอาศัย รวมถึงบริการ Concierge และนิติบุคคลจากทางโรมแรม Intercontinental ที่จะคอยดูแลลูกบ้านและบริหารโครงการเป็นระยะเวลา 15 ปี ในราคาเริ่มต้นที่ 8.9 ล้านบาท (ราคาเฉลี่ย 260,000 บาท/ตร.ม.) (2562)
เชิญติดตามอ่านรายละเอียดของโครงการที่ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์พิเศษ คลิก : https://www.parkorigin.co.th/Thonglor/
ชื่อโครงการ | พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ Park Origin Thonglor |
เจ้าของโครงการ | บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) / Origin Property |
เนื้อที่ทั้งหมด | 5 – 3 – 90.9 ไร่ |
จำนวนตึก | 3 อาคาร |
จำนวนชั้น |
|
จำนวนห้อง |
|
ลักษณะห้องและขนาดห้อง |
|
ที่จอดรถทั้งหมด | Automatic Parking 54% |
จำนวนลิฟต์ |
|
โซน | เขตวัฒนา |
ขนส่งสาธารณะ |
|
รถโดยสารที่ผ่าน | n/a |
ที่ตั้ง | ซอยทองหล่อ 10 ถ.สุขุมวิท 55 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. |
กำหนดการ |
|
ปีที่สร้างเสร็จ | ไตรมาส 4/2564 |
ราคา | 1 ห้องนอน เริ่ม 8.9 ล้านบาท (เม.ษ.) |
ราคาเฉลี่ยต่อ ตร.ม | เริ่มต้น ประมาณ 260,000 บาท/ตร.ม.* |
ค่าส่วนกลางและกองทุน |
|
สถานที่สำคัญใกล้เคียง |
|
สิ่งอำนวยความสะดวก |
|
จุดเด่นของโครงการ | Park Origin ทองหล่อ | คอนโดใหม่จาก Origin สมบูรณ์แบบ บนทำเลศักยภาพ ที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ท่ามกลางธรรมชาติ พบกันเร็ว ๆ นี้ |
:::: ที่ตั้งโครงการ ::::
ซอยทองหล่อ 10 ถ.สุขุมวิท 55 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม.
พิกัด Google Maps : 13.731584, 100.584641
แผนที่จากทางโครงการ Park Origin ทองหล่อ คอนโด High rise ระดับ Luxury พร้อมส่วนกลางกว่า 50 รายการ ในซอยทองหล่อ 10 ใกล้ DON DON DONKI, J Avenue, The Commons และ Community Malls อีกหลากหลาย ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อ 1.4 กม. และสถานีเอกมัย 1.5 กม. เดินทางสะดวกใกล้ถนนสุขุมวิท, ถนนเพชรบุรี และทางด่วน 3 สายหลัก
ทำเลที่ตั้ง โครงการ ตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ 10 หรือซอยเอกมัย 5 ซึ่งเป็นซอยที่อยู่ระหว่าง ซ.สุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) และ ซ.สุขุทวิท 63 (เอกมัย) ถือเป็นทำเลที่อยู่ใจกลางทองหล่ออย่างแท้จริงค่ะ เพราะโดดเด่นและขึ้นชื่อเรื่องไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ฮอตเป็นอันดับต้นๆ ในกรุงเทพฯ จุดเด่นที่ทำให้ทำเลนี้เป็นทำเลศักยภาพก็คือ ความคล่องตัวในการใช้ชีวิต เพราะเป็นทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวก มีตัวเลือกในการเดินทางที่หลากหลาย เป็นแหล่งของการสังสรรค์และเข้าสังคมที่ขึ้นชื่อเรื่องร้านอาหารหรูชิคๆ เก๋ๆ, สถานบันเทิงที่มีชื่อ และ Community Mall อีกทั้งยังเป็นทำเลทองของย่านธุรกิจ เพราะเป็นอีกหนึ่งศูนย์รวมของพวก Office Building
นอกจากนี้ยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยยอดนิยมของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เพราะมีคอนโดระดับ Luxury และ Residential Building อยู่อีกหลายเจ้า ที่ดินในย่านนี้จึงมีราคาสูงและก็ยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนอย่างมาก ในปัจจุบันซอยทองหล่อนั้นมีความหนาแน่นอยู่พอตัวแล้วค่ะ จะหาพื้นที่สำหรับโครงการใหม่ๆ ก็นับว่าหาได้ค่อนข้างยากแล้ว
การเดินทางด้วยรถยนต์ ซอยทองหล่อ 10 เป็นซอยที่เชื่อมระหว่างซอยทองหล่อและเอกมัย เป็นถนน 2 เส้นที่อยู่คู่ขนานกันที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรี ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่รู้ๆ กันอยู่ว่ารถติดมากทีเดียว เนื่องด้วยปริมาณของคนที่อยู่อาศัย, ทำงาน และสัญจรผ่านไปมาก็ได้ใช้ ซอยทองหล่อและซอยเอกมัย ที่อยู่ขนานกันเป็นเส้นทางสำหรับเข้า – ออกเมืองฝั่งสุขุมวิท จึงพลอยทำให้ถนนเส้นนี้มีการจราจรที่หนาแน่นไปด้วย แต่ภายในซอยทองหล่อและเอกมัยก็ยังพอมีทางลัดเลาะอยู่บ้าง ทั้งซอยแจ่มจันทร์, ซอยธารมรมณ์ 2 และซอยทองหล่อ 10 เองก็สามารถใช้วิ่งตรงเข้าซอยเอกมัย 12 ไปต่อเส้นปรีดี พนมยงค์ ได้อีกทาง
นอกจากนี้ ยังมีทางลัดที่สามารถใช้เลี่ยงรถติดตรงปากซอยเอกมัยได้ นั่นก็คือซอยเอกมัย 10 หรือตรง Heath Land จะสามารถใช้วิ่งลัดเลาะมาออกที่บริเวณซอยสุขุมวิท 65 ได้ ถ้าต้องการเข้าเมืองทางถนนพระราม 4 ก็จะมีซอยสุขุมวิท 36 และ 40 ฝั่งตรงข้าม ที่สามารถใช้เชื่อมไปออกพระราม 4 ได้ ส่วนซอยสุขุมวิท 42 ก็สามารถใช้เชื่อมจากถนนพระราม 4 กลับเข้ามายังถนนสุขุมวิทได้ค่ะ
ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ตัวโครงการยังใกล้จุดขึ้นลงทางพิเศษฉลองรัช, ทางพิเศษศรีรัช และ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทั้งขาเข้าและออกเมืองอีกด้วย จะเห็นว่าจากโครงการนั้นสามารถเลือกใช้เส้นทางได้หลากหลาย ทั้งจากถนนสุขุมวิทไปทางสยาม, ถนนเพชรบุรีไปทางพญาไท หรือ ถนนพระราม 4 ไปทางสาทร – สีลม ก็ได้ทั้งนั้น ถึงแม้ว่าถนนโดยรอบจะเป็นถนนที่รถติด แต่ทุกเส้นพอจะมีทางลัดเอาไว้ให้พอลัดเลาะเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรบางช่วงได้อยู่บ้างค่ะ
ทางด่วน จากตัวโครงการจะอยู่ใกล้กับจุดขึ้นทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ด้วยค่ะ ถ้าจะออกไปทางรามอินทรา – วัชรพล หรือเชื่อมต่อกับ ทางพิเศษศรีรัช ไปทางปากเกร็ดหรือชลบุรี จะขอแนะนำให้ใช้จุดขึ้นทางด่วนตรงถนนเพชรบุรี – พัฒนาการค่ะ
อีกจุดขึ้นทางด่วนนึงที่อยู่ไม่ไกลก็คือทางพิเศษเฉลิมมหานคร ใช้ออกเมืองไปทางพระราม 2 จากถนนสุขุมวิทไปถนนพระราม 4 ผ่านซอยสุขุมวิท 40 และจากถนนพระราม 4 วิ่งผ่านถนนกล้วยน้ำไทเข้าถนนอาจณรงค์เพื่อขึ้นทางด่วนค่ะ
:: สรุปแยก และ ถนนสำคัญรอบโครงการ ::
การเดินทางด้วยรถสาธารณะ การเดินทางด้วยรถสาธารณะก็นับว่าสะดวกสบายนะคะ เพราะตัวโครงการอยู่ห่างจากซอยทองหล่อเพียง 270 เมตรและซอยเอกมัยเพียง 210 เมตร ซึ่งก็มีรถสาธารณะวิ่งผ่านอยู่ตลอดเวลา ทั้งรถเมล์สาย 23, 72 และ 545ร รถแท็กซี่ก็เรียกได้ไม่ยาก ส่วนคิววินมอเตอร์ไซค์ก็มีอยู่ภายในซอยทองหล่อ 10 ด้วยค่ะ
ในส่วนของรถไฟฟ้า BTS สถานีที่ใกล้ที่สุดคือสถานีทองหล่อ ห่างจากหน้าโครงการประมาณ 1.4 กม. และสถานีเอกมัย ห่างจากหน้าโครงการประมาณ 1.5 กม. ถ้านั่งรถไปจะใช้เวลาเพียง 3 – 4 นาทีเท่านั้นค่ะ จะไปสถานีไหนก็สะดวก
และถ้าเรานั่งไปถึง Terminal 21 ลงที่ สถานีอโศก จะเป็นสถานี Interchange กับ สถานีสุขุมวิทของ MRT ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีเทาวิ่งมาจากวัชรพลผ่านถนนประดิษฐ์มนูธรรมเส้นทองหล่อ มา Interchange ที่สถานีทองหล่อ ซึ่งในอนาคตสถานีทองหล่อ 10 จะเป็นสถานีที่อยู่ใกล้ตัวโครงการมากที่สุดและสะดวกที่สุดค่ะ
ความอุดมสมบูรณ์ ย่านทองหล่อนั้นโดดเด่นในเรื่องของความอุดมสมบูรณ์, ร้านอาหารหรูชื่อดัง, Community Mall และสถานที่ Hang out ในตอนกลางคืนอยู่แล้ว ใกล้กับตัวโครงการในระยะเดินเลยก็จะมีทั้ง DONDON DONKI เป็นห้างญี่ปุ่นที่จำหน่ายสินค้าหลายประเภท บางอย่างก็ถูกและดีจนน่าตกใจ, 7th Street เป็น Bar&Bistro, The Opus ภายในมี Foodtopia ซึ่งเป็น Community ของอาหารหลากสไตล์, The Commons เป็น Community Mall แนวใหม่มุมถ่ายรูปเพียบ ภายในมีร้านอาหารดีๆ ถึง 4 โซน ได้แก่ Market Village Play Yard และ Top Yard, J Avenue ศูนย์ไลฟ์สไตล์ที่แรกในประเทศไทย มีซูเปอร์มาร์เก็ต ธนาคาร คลินิกความงาม Trendy Café และร้านอาหารนานาชาติชั้นนำมากมายให้เลือก, Penny’s Balcony, Tops Market ทองหล่อ, Seen Space, แหล่งร้านอาหารญี่ปุ่นอย่าง Nihonmura Mall ถ้าเข้าไปในซอยแจ่มจันทร์ ก็จะมีร้านที่น่าสนใจอีกหลายร้านค่ะ
อย่างซอยพี่น้องที่อยู่คู่ขนานกันอย่างซอยเอกมัย ก็มี Big C เอกมัย อยู่ข้างๆ กับ Index Living Mall ที่ฝั่งตรงข้ามก็มี Park Lane เป็น Life Style Mall ภายในรวบรวมร้านค้า, ร้านอาหารหลากแนว, สปา, ซุปเปอร์มาร์เก็ต, ศูนย์การเรียนรู้ และสวนสนุกของคุณหนูเอาไว้
ออกมาที่เส้นสุขุมวิทในระยะใกล้ๆ จะมีศูนย์การค้าอย่าง Gateway เอกมัย ตกแต่งเอาใจคอญี่ปุ่น, Major เอกมัย, Rain Hill, ท้องฟ้าจำลอง, Tops market ถ้านั่งรถไฟฟ้าไปแค่ 2 สถานีก็ถึงย่านพร้อมพงษ์ ซึ่งเป็น The EmDistrict ทั้ง Emquatier กับ Emporium ซึ่งในอนาคตก็จะมี Emsphere อยู่ฝั่งเดียวกับ Emporium ติดกับสวนเบญจสิริอีกด้วยค่ะ
:: สรุปสถานที่สำคัญรอบโครงการ ::
ห้างสรรพสินค้า
สถานศึกษา
ศูนย์การแพทย์
อื่นๆ
สถานที่ราชการและอาคารสำนักงาน
:::: การเดินทางสู่โครงการ ::::
วันนี้ทางทีมงาน Homenayoo มีภาพการเดินทางไปสู่ตัวโครงการ โดยใช้รถยนต์ส่วนตัวมาฝากกันค่ะ โดยเราจะเริ่มการเดินทางจาก
ทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ > ถ.พัฒนาการ > ถ.เพชรบุรี > ซ.สุุขุมวิท 63 (เอกมัย) > Park Origin ทองหล่อ
วันนี้เราจะเริ่มต้นการเดินทางจากบนทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์กันค่ะ โดยจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 20 นาที เราจะมุ่งหน้าไปทางบางนา – ดาวคะนองนะ
มุ่งหน้าไปตามป้ายบางนา – ดาวคะนอง
สังเกตป้ายถนนพัฒนาการเอาไว้แล้วชิดซ้ายเตรียมลงที่ทางออก 5
ชิดซ้ายแล้วลงที่ทางออก 5 เลย
เมื่อขับลงมาจากทางด่วนแล้วจะมีทางแยก 2 ทางเพื่อเข้าถนนพัฒนาการแบบนี้ ให้เราชิดขวาเพื่อออกไปทางถนนเพชรบุรี
เมื่อเลี้ยวขวามาแล้วบนเส้นพัฒนาการจะเจอคอนโด The Leaf อยู่ทางฝั่งซ้ายมือค่ะ ให้เราขับชิดเลนซ้าย หรือขึ้นสะพานข้ามแยกก็ได้เหมือนกัน
ถ้าไม่ได้ขึ้นสะพานให้เราขับไปตามป้ายเพชรบุรี
จะมาเจอแยกไฟแดงแบบนี้ให้เราอยู่เลนกลางเพื่อข้ามแยกค่ะ ถ้าออกซ้ายจะเข้าซอยสุขุมวิท 71 หรือปรีดี พนมยงค์นั่นเอง ทางนั้นก็สามารถใช้เดินทางไปตัวโครงการได้เช่นกันนะ
เมื่อเราขับข้ามแยกมาแล้วจะเข้าถนนเพชรบุรี เป็นจุดที่สะพานข้ามแยกเมื่อสักครู่ขับมาลงพอดีค่ะ
จากนั้นให้เราขับชิดซ้ายเพื่อเลี้ยวเข้าซอยสุขุมวิท 63 หรือเอกมัยนั่นเอง
เมื่อเราเข้าถนนเอกมัยมาแล้วจะเห็นตึก SSP Tower 1 เด่นสง่าอยู่ทางขวามือของเราก่อนเลย ตรงนี้จะเป็นเอกมัยตอนเหนือค่ะ
เราขับตรงตามเส้นเอกมัยไปเรื่อยๆ แล้วให้เราชิดขวาเพื่อเลี้ยวเข้าซอยทองหล่อ 10 (หรือซอยเอกมัย 5)
พอเลี้ยวเข้าซอยทองหล่อ 10 แล้วเราก็จะเห็น DONKI Mall อยู่ทางฝั่งซ้ายมือต้นๆ ซอยเลย
ขับเลยไปนิดเดียวตัวโครงการก็จะอยู่ทางฝั่งขวามือของเราแล้วค่ะ ตรงทางเข้า Arena 10 พอดี
:::: สภาพแวดล้อมรอบโครงการ ::::
ตัวโครงการตั้งอยู่ในทองหล่อซอย 10 สามารถเข้า – ออกได้ทั้งทางซอยทองหล่อและซอยเอกมัย โดยตัวโครงการถูกล้อมรอบด้วย Residential Building มากมาย รวมถึงร้านอาหารและ Community Mall ที่น่าสนใจ
เดี๋ยวเราจะมาเดินสำรวจทำเลภายในซอยทองหล่อ 10 กันค่ะว่าจะมีบรรยากาศเป็นอย่างไรบ้าง โดยทางเข้าของตัวโครงการจะอยู่ข้างๆ กับ Sales Office เลยค่ะ
ฝั่งตรงข้ามกับตัวโครงการก็คือ Showroom เฟอร์นิเจอร์
ติดกันเป็นผืนที่ดินเปล่า
ติดกับตัวโครงการทางฝั่งซ้ายมือหรือทิศตะวันออกก็คือทางเข้า – ออกของ Arena 10
พื้นที่ด้านในตอนนี้ก็จะมีทั้งร้านอาหาร, บาร์, ไนท์คลับ และร้านคาราโอเกะชื่อดัง
ติดกับทางเข้า Arena 10 คืออาคารสำนักงานสูง 9 ชั้น
ฝั่งตรงข้ามมี Showroom ของ Kitchenette ขายเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องครัว
ติดกันเป็นอาคารพาณิชย์ มีทั้งร้านคาเฟ่หน้าตาดี ร้านขายโคมไฟ และสตูดิโอดีไซน์
เราเดินต่อมาไม่ไกลก็จะมี รพ.สัตว์เจริญสุข
กับร้านขายเฟอร์นิเจอร์สไตล์ Outdoor และร้านขายเฟอร์นิเจอร์แบบ Made to order
ส่วนที่ฝั่งตรงข้ามก็จะมีห้างสรรพสินค้าจากญี่ปุ่น DONDON DONKI จากโครงการเดินมาเพียง 160 เมตรเท่านั้นเองนะคะ
จากตัวโครงการเดินออกไปทางฝั่งซ้ายมือเพียง 210 เมตรก็จะออกสู่ซอยเอกมัยแล้วค่ะ
เรากลับมาที่หน้าโครงการ เราจะเดินไปสำรวจภายในซอยทองหล่อ 10 ฝั่งทางขวามือกันบ้าง
ที่ติดกับตัวโครงการเลยก็คือร้านขายเฟอร์นิเจอร์และคอนโด Burgundy สูง 7 ชั้น
ที่ฝั่งตรงข้ามก็จะมีฟิตเนสและคลินิกทันตกรรม
เราเดินต่อไปไม่ไกลจะมีร้าน Pizza Hut และร้านอาหารญี่ปุ่นค่ะ
ที่ฝั่งตรงข้ามก็มีร้านอาหารสไตล์เลบานีสให้มาลองลิ้มชิมรสกันได้
เราเดินถัดมาไม่ไหลก็จะมีอาคาร Major Tower เป็นอาคารสำนักงาน บริเวณชั้น 1 ก็จะมีทั้งร้านสะดวกซื้อ คาเฟ่ และธนาคาร
มี Foodtopia อยู่ภายใน The Opus ซึ่งเป็น Community ของอาหารหลากหลายสไตล์
และมี Reunion ทองหล่อ Social Gathering Bar & Bistro
ส่วนที่ฝั่งตรงข้ามก็มีร้านอาหารน่านั่งอยู่อีกหลายร้านเลยนะคะ
จากตัวโครงการเราเดินมาประมาณ 260 เมตรก็จะออกที่ซอยทองหล่อแล้วค่ะ
:::: ตัวโครงการ ::::
พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ เป็น High rise Condominium ระดับ Luxury มี 3 อาคาร สูง 39 ชั้น, 54 ชั้น และ 59 ชั้น บนเนื้อที่ 5 – 3 – 90.9 ไร่ กับห้องพักอาศัยจำนวน 1182 ยูนิต มีห้องให้เลือกแบบ 1 Bedroom, 2 Bedroom, 2 Bedroom Duo Space, 2 Bedroom Plus Duo Space, 2 Bedroom Penthouse และ 3 Bedroom Penthouse ขนาดเริ่มต้นที่ 30.00 – 97.00 ตร.ม. ที่ถูกออกแบบด้วยบริษัทออกแบบที่มีชื่อเสียงระดับสากล ทั้ง Tandam , DWP และ Trop
ภายใต้คอนเซปต์ “A Perfect Living Platform” สมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิตใจกลางเมือง ซึ่งออกแบบได้อย่างโดดเด่น มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เพราะการใช้ชีวิตของผู้คนในทองหล่อนั้นมีไลฟ์สไตล์ในเวลากลางวันและกลางคืนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นที่มาของคำว่า Extra Ordinary และการใช้ชีวิตของผู้คนที่ต้องเชื่อมโยงกับ Community, Technology และ Nature อยู่ตลอดเวลา ทางโครงการจึงคำนึงถึงสภาพแวดล้อมหรือ Nature เดิมของที่ดิน โดยเก็บต้นไม้ใหญ่บนที่ดินเดิมไว้บางส่วน นำเอา Technology เข้ามาใช้กับภายในโครงการและห้องพักอาศัยเพื่อความทันสมัยและสะดวกสบายของผู้อยู่อาศัย และออกแบบ Community ที่น่าอยู่ด้วย Facilities กว่า 50 รายการ เพื่อเป็นการเชื่อมผู้อยู่อาศัยให้ออกมามีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน
นอกจากนี้ทางโครงการยังนำแนวคิดความเป็น Park ซึ่งเป็นชื่อโครงการแบ่งออกมาเป็น 3 องค์ประกอบหลัก คือ Sculpture, Lake และ Tree มาเป็นธีมหลักในการออกแบบแต่ละอาคารทั้งวัสดุและพื้นที่ใช้สอย ทำให้ได้แรงบันดาลใจสู่รูปทรงอาคาร เป็นรูปทรงเปลือกไม้ที่อ้าออกเผยถึงแก่นด้านในซึ่งเป็นส่วนของ Facilities โดยอาคาร A เป็นตัวแทนของ Sculpture ที่สง่างามและมั่นคง อาคาร B เป็นตัวแทนของ Lake แสดงเส้นสายที่โค้งลื่นไหลและต่อเนื่อง ส่วนอาคาร C เป็นตัวแทนของ Tree เน้นเส้นสายที่มีความเป็นธรรมชาติแต่ก็ยังมีความทันสมัยและแอคทีฟ
ภาพโมเดลของโครงการฝั่งทิศเหนือและทิศใต้
ภาพโมเดลของโครงการฝั่งทิศตะวันออกและตะวันตก
เรามาดูรายละเอียดของส่วนกลางแต่ละอาคารกันค่ะ พื้นที่ส่วนกลางจะแบ่งหลักๆ อยู่ที่ชั้น Ground Floor และที่ชั้นบนๆ ของอาคารแต่ละอาคาร เริ่มจากชั้น Ground Floor จะประกอบด้วย Lobby, Garden Space กว่า 2 ไร่, Jogging Track, Drink Bar, All Day Dinning และ Convenience Store
ชั้น 38 Tower A ซึ่งเชื่อมต่อกับชั้น 39 ของ Tower B (ชั้นพักอาศัย) ประกอบด้วย Private Spa, Yoga Fly, Sculpture Pool, Jacuzzi, Gym, Steam Room, Pool View Point เชื่อมสู่ชั้น 39 ประกอบด้วย Private Theater, Crystal Box, Golf Simulator, Cigar Room, North Bar, Game Room และ Business Lounge
ชั้น 52 Tower B ซึ่งเชื่อมต่อกับชั้น 47 Tower C ประกอบด้วย Lobby, Pool Bar, Lake Lounge, Lake Pool ขนาด 22 เมตร, Wine Cellar, Pool Table, Music Room, Semi – outdoor Party เชื่อมสู่ชั้น 53 ประกอบด้วย Co – kitchen, Private Dinning, Sky Theater, Essence Room, Sky Bridge และ Sleep Pod
ชั้น 47 Tower C ประกอบด้วย Aqua Lounge, Aqua Bed, Shower Jet, Aqua Chair, Experience Shower, Ice Room, Tree Pool ขนาด 25 เมตร, Skyline Sunset, Onsen Men, Onsen Women และเชื่อมสู่ชั้น 48 ประกอบด้วย Boxing, Gym และ Star Sphere บนชั้น Rooftop
Facilities ของแต่ละอาคารจะเชื่อมถึงกันได้ และลูกบ้านทุกคนสามารถใช้งานพื้นที่ส่วนกลางได้ทุกอาคารค่ะ โดยจะมี Sky Bridge เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างอาคาร ที่อาคาร A ชั้น 38 ไปยังอาคาร B ชั้น 39 และ Sky Bridge เชื่อมที่อาคาร B ที่ชั้น 52 ไปยัง อาคาร C ที่ชั้น 47 แต่จะไม่สามารถขึ้นไปที่ชั้น Rooftop ของอาคารอื่นได้นะ
นอกจากนี้ทางโครงการยังมีบริการ “Crown Residence” เป็นบริการสำหรับกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัยระยะยาว บริการในรูปแบบของ Resident Service สำหรับผู้พักอาศัย รวมถึงบริการ Concierge และนิติบุคคลจากทางโรมแรม Intercontinental ที่จะคอยดูแลลูกบ้านและบริหารโครงการเป็นระยะเวลา 15 ปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรทาง Concierge ก็สามารถจัดการหามาให้ได้ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลูกบ้านต้องการเช่าส่วนกลางเพื่อจัด Private Party ก็สามารถให้ทาง Concierge จัดการเชิญเชฟที่ต้องการมาปรุงอาหารให้ จัดหาไวน์ที่ต้องการดื่มในงาน จัดตกแต่งบรรยากาศภายในห้อง เสมือนเป็น Organizer ส่วนตัวโดยไม่ต้องเสียค่าดำเนินการเพิ่มเติมเลยค่ะ
นอกจากนี้ ทางโครงการยังมี Maid Service บริการแม่บ้านที่ผ่านการ Training มาจากทางโรงแรม Intercontinental มาทำความสะอาดห้องให้เดือนละ 1 ครั้งเป็นเวลา 1 ปีเต็ม แต่สิทธิ์พิเศษของลูกบ้าน Park Origin ทองหล่อ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะคะ ลูกบ้านยังจะได้ Platinum Card ของโรงแรม Intercontinental ที่มี Point ถึง 40,000 Point นำไปใช้บริการได้ในเครือโรงแรม Intercontinental ทั่วโลกอีกด้วย
เรามาดูผังของโครงการกันบ้างค่ะ เริ่มจากทางเข้า – ออกของโครงการจะอยู่ในซอยทองหล่อ 10 ภายในมี 3 อาคาร ตั้งแต่ด้านหน้าโครงการจะถูกออกแบบ Landscape มาอย่างสวยงามและต่อเนื่องเข้าไปภายในโครงการโดยใช้ต้นไม้เดิมของที่ดินที่มีอายุถึง 70 – 80 ปีมาเป็นส่วนหนึ่งของ Landscape ด้วย
เส้นทางการจราจรภายในโครงการจะแยกทางเท้าและทางรถออกจากกันอย่างชัดเจน โดยออกแบบให้ถนนมีขนาดที่รถสามารถสวนกันได้ 2 เลน เบี่ยงหลบไปทางซ้ายเพื่อเข้าสู่ Drop – off และช่องจอดรถของแต่ละอาคาร (Auto Parking) ซึ่งลูกบ้านสามารถจอดรถที่อาคารใดก็ได้ค่ะ โดยอาคาร A จะมี 2 ช่องจอด, อาคาร B และอาคาร C มี 3 ช่องจอด รวมทั้งหมด 54 % (ส่วนจอดรถจะอยู่ใต้ชั้นพักอาศัย ซึ่งจำนวนของที่จอดแต่ละอาคารก็จะไม่เท่ากันนะคะ)
ส่วนทางเท้าจะอยู่ทางฝั่งขวามือ ซึ่งจะเชื่อมต่อกับสวนขนาด 2 ไร่ของโครงการและจะมีทางเดินเชื่อมสู่ Lobby ของทุกอาคารได้ โดยทาง Trop Landscape Design ออกแบบให้ไม่มีการ Cross กับทางรถเลยเพื่อความปลอดภัยและสุนทรีย์ภาพของลูกบ้านค่ะ
จาก Drop – off เราสามารถเดินเข้าสู่ Lobby ของแต่ละอาคารได้เลยค่ะ ซึ่งแต่ละอาคารก็จะมี Lobby ที่แตกต่างกันไปตามแนวคิดของอาคาร อย่างอาคาร A มีแนวคิดจาก Sculpture อาคาร B มีแนวคิดจาก Lake และอาคาร C มีแนวคิดจาก Tree ที่ชั้น G ของอาคาร A จะเป็นร้านอาหาร All Day Dinning จากทางโรงแรม Intercontinental ที่อาคาร B เป็น Convenience Store ส่วนอาคาร C เป็นร้านซักรีด
เข้าสู่โถงลิฟท์จะมีลิฟต์โดยสารเป็นลิฟต์ล็อคชั้น รวมทั้งโครงการอยู่ที่ 11 ตัว มีอัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการอยู่ที่ 108 : 1 แต่ถ้าแยกเป็นอาคารๆ ไปจะตกอยู่ที่ อาคาร A 125 : 1, B 120 : 1 และ C 82 : 1 ซึ่งถือว่าไม่หนาแน่นมากจนเกินไปทำให้ไม่ต้องรอลิฟต์นานในชั่วโมงเร่งด่วน ส่วนลิฟต์ Service จะมีอาคารละ 1 ตัวค่ะ
มาดูรายละเอียดย่อยๆ ของแต่ละอาคารกันต่อค่ะ เริ่มจาก อาคาร A เป็นอาคารที่เปิดขายสำหรับชาวต่างชาติ มีความสูงที่ 39 ชั้น ห้องพักทั้งหมดจะเป็นแบบ Simplex มีความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานถึง 3 เมตร มีแนวความคิดหลักในการออกแบบคือ Sculpture เน้นการออกแบบให้มีเอกลักษณ์คล้ายกับโรงแรมเพื่อรองรับความต้องการของลูกบ้านชาวต่างชาติ
Facilities ของอาคาร A จะอยู่ที่ชั้น 38 เป็นชั้นสำหรับการออกกำลังกายโดยเฉพาะค่ะ ประกอบด้วย Sculpture Pool, Outdoor Onsen, Gym, Yoga Fly, Private Spa, Steam Room, Jacuzzi และ Pool View Point มี Sky Bridge เชื่อมกับชั้นพักอาศัยชั้น 39 ที่อาคาร B ซึ่งมีประตูกั้นระหว่างพื้นที่ส่วนกลางและส่วนห้องพักเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของลูกบ้านที่อาคาร B
ชั้น 39 เป็นชั้นสำหรับกิจกรรมแบบผ่อนคลาย ประกอบด้วย Crystal Box, Cigar Room, Connecting Room, North Bar, Sculpture Lounge หรือ Business Lounge, Game Room, Private Theater และ Golf Simulator
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Lobby ของอาคาร A ที่ตกแต่งแบบ Sculpture ให้ความรู้สึกถึงความสง่ามั่นคง ภายในรองรับการนั่งพักผ่อนของลูกบ้านโดยล้อมพื้นที่ด้วยผนังกระจกขนาดใหญ่เชื่อมพื้นที่ภายในกับพื้นที่สวนภายนอกค่ะ
ภาพบรรยากาศจำลองชั้น 38 – 39 ของอาคาร A บริเวณ Swimming Pool และ Crystal Box ซึ่งเป็นพื้นที่ของ Sculpture Lounge ที่มีผนังกระจกยื่นออกมา สามารถ Take View สระว่ายน้ำและวิวเมืองได้
ภาพพบรรยากาศจำลองของอาคาร A บริเวณ Fitness แบบ Double space มีผนังกระจกสูงรอบด้าน ภายในมีอุปกรณ์สำหรับออกกำลังกายทั้ง Cardio และ Weight Training ให้อย่างครบครัน
อาคาร B เป็นอาคารที่เปิดขายสำหรับคนไทย สูง 53 ชั้น ชั้นจอดรถจะอยู่ที่ชั้น 3 – 14 ส่วนชั้นพักอาศัยจะเริ่มต้นที่ชั้น 15 – 51 ซึ่งเป็นแบบ Simplex ทั้งหมด มีความสูงจากพื้นถึงฝ้าที่ 3 เมตรเช่นกัน ส่วน Facilities จะอยู่ที่ชั้น 52 และ 53 โดยจะเน้นการออกแบบจากแนวคิด Lake พื้นที่ส่วนกลางเน้นกิจกรรมที่หลากหลาย
ชั้นพักอาศัยชั้น 16 – 51 (ยกเว้นชั้น 39 ที่เชื่อมต่อกับอาคาร A) จัดวางห้องพักแบบ Single Corridor เน้นห้องพักแบบ 1 Bedroom มีห้อง 2 Bedroom เพียง 2 ห้องตรงมุมอาคารทางทิศเหนือ – ใต้ ซึ่งมีทั้งหมดเพียง 13 ยูนิต/ชั้นเท่านั้น วางส่วน Service ของอาคารไว้ตรงกลาง ทำให้ทุกๆ ห้องสามารถเข้าถึงกลาง Core ได้ในระยะใกล้เคียงกัน มีลิฟท์โดยสารให้ 4 ตัว จึงมีอัตราการใช้งานอยู่ที่ 120 : 1
Facilities ของอาคารนี้อยู่ที่ชั้น 52 ประกอบด้วย Pool Bar, Lake Lounge, Lake Pool, Cigar Room, Wine Cellar, Pool Table, Game Table, Music Room และ Semi – Outdoor Party ซึ่งชั้นนี้จะเชื่อมกับชั้น 47 ที่อาคาร C ซึ่งเป็นชั้น Facilities เช่นกัน สามารถเดินไปใช้งานทั้ง 2 ฝั่งได้เลยค่ะ
ส่วนชั้นที่ 53 จะประกอบด้วย Co – kitchen, Private Dinning, Kid Dinning, Sky Theater, Essence Room และ Sleep Pod เป็นฟังก์ชั่นสำหรับการพักผ่อน
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Lobby ของอาคาร B มีแนวคิดจาก Lake เน้นเส้นสายที่โค้งลื่นไหลและต่อเนื่องเหมือนสายน้ำ
ภาพบรรยากาศจำลองบริเวณชั้น 52 – 53 ของอาคาร B หลังคาโค้งบานออกมาจากแนวคิดการออกแบบอาคารให้เห็นเป็นเปลือกไม้ที่กางออกมาให้แก่นภายใน ซึ่งปิดล้อมด้วยผนังกระจกทั้งหมดจึงได้วิวเมืองแบบ 360 องศา
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Entertainment Room ชั้น 52 ตกแต่งแบบหรูหราแต่ยังคงให้บรรยากาศที่ผ่อนคลาย เหมาะมากๆ ที่จะขึ้นมานั่งพักผ่อนพร้อมชมวิวเมือง
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Pool Bar ชั้น 52 ที่สามารถชมวิวเมืองและว่ายน้ำได้ในเวลาพร้อมๆ กัน
อาคาร C เป็นอาคารที่สูงที่สุดสูง 59 ชั้น เปิดขายสำหรับคนไทยเช่นกันค่ะ ชั้นจอดรถจะอยู่ที่ชั้น 3 – 15 ชั้นพักอาศัยจะเริ่มต้นที่ชั้น 16 เป็นต้นไป โดยที่ชั้น 16 – 26 คือห้องแบบ Simplex ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร ชั้น 27 – 46 คือห้องแบบ Duo Space ฝ้าสูง 4.25 เมตร และชั้น 49 – 58 คือห้องแบบ Penthouse ฝ้าสูง 3.50 เมตร ส่วน Facilities จะอยู่ที่ชั้น 47 – 48 มีชั้น Rooftop Star Sphere หรือลานดูดาว อาคารนี้เน้นการออกแบบภายใต้แนวคิด Tree สะท้อนความมีตัวตน ความสง่างาม และความแอคทีฟ Facilities จึงเน้นไปทางด้านความแอคทีฟที่สัมผัสกับความเป็นธรรมชาติ
ชั้น 16 – 26 เป็นชั้นห้องพักแบบ Simplex มี 9 ยูนิต/ชั้น ฝ้าสูง 3 เมตร ส่วนใหญ่จะได้โถงทางเดินเป็นแบบ Single Corridor เน้นห้องพักแบบ 1 Bedroom มีห้อง 2 Bedroom เพียง 2 ห้องต่อชั้น อยู่ที่ทิศตะวันตก และทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งห้องนี้อยู่ติดกับโถงลิฟต์ ทางโครงการจึงออกแบบให้มีโถงก่อนเข้าภายในห้องเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้น การวางผังส่วน Service ของอาคารไว้ตรงกลางเช่นเดียวกับอาคาร B มีจำนวนลิฟต์โดยสาร 4 ตัว ซึ่งมีอัตราส่วนอยู่ที่ 82 : 1 ถือว่าไม่หนาแน่นแล้ว
ชั้น 27 – 46 เป็นชั้นห้องพักแบบ Duo Space มี 9 ยูนิต/ชั้น วางผังเหมือนกับชั้น 16 – 26 เป็นชั้นห้องพักแบบ Simplex แต่จะแตกต่างกันตรงที่ชั้นนี้มีความสูงจากพื้นถึงฝ้าอยู่ที่ 4.25 เมตรเลย
ชั้น 49 – 58 เป็นชั้นห้องพักแบบ Penthouse ฝ้าสูง 3.50 เมตร มี 5 ยูนิต/ชั้นเท่านั้น จึงมีความเป็นส่วนตัวมาก
ส่วน Facilities จะอยู่ที่ชั้น 47 ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับน้ำค่ะ ประกอบด้วย Aqua Lounge, Aqua Jet, Aqua Bed, Aqua Chair, Experience Shower, Ice Room, Tree Pool, Skyline Sunset, Onsen Men และ Onsen Women
ส่วนที่ชั้น 48 แบ่งเป็นสองส่วนคือ Boxing และ Gym สำหรับคนที่รักการออกกำลังกาย
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Onsen ชั้น 47 ที่แยกชาย – หญิงให้เรียบร้อย สามารถแช่น้ำแร่ที่ควบคุมอุณหภูมิพร้อมกับชมวิวเมืองแบบสบายๆ
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Boxing Zone ที่ชั้น 48 เป็นโซนต่อยมวยที่ล้อมรอบด้วยวิวเมือง สร้างบรรยากาศได้ดีทีเดียว
:::: แบบห้องของโครงการ ::::
ภายในโครงการมีห้องอยู่ 7 แบบหลักๆ ดังนี้ค่ะ
ซึ่งทางโครงการตกแต่งห้องให้แบบ Fully Fitted พร้อมระบบ Home Automation ไม่ว่าจะเป็น Smart Gateway เชื่อมต่อ Mobile Application, Digital Door Lock, Smart Mirror, Ac Control, Curtain Control, Lighting Control และ Automatic Night Light อีกทั้งยังมีบริการ “Crown Residence” เป็นบริการสำหรับกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัยระยะยาว บริการในรูปแบบของ Resident Service สำหรับผู้พักอาศัย รวมถึงบริการ Concierge และนิติบุคคลจากทางโรมแรม Intercontinental ที่จะคอยดูแลลูกบ้านและบริหารโครงการเป็นระยะเวลา 15 ปี นอกจากนี้ ทางโครงการยังมี Maid Service บริการแม่บ้านที่ผ่านการ Training มาจากทางโรงแรม Intercontinental มาทำความสะอาดห้องให้เดือนละ 1 ครั้งเป็นเวลา 1 ปีเต็มอีกด้วย เราไปชมแปลนห้องด้วยกันเลยค่ะ
1 Bedroom ขนาด 31.5 – 33.0 ตร.ม.
2 Bedroom ขนาด 45.0-46.0 ตร.ม.
1 Bedroom Duo Space ขนาด 32.5 – 33 ตร.ม.
2 Bedroom Duo Space ขนาด 46 ตร.ม.
2 Bedroom Penthouse ขนาด 66 ตร.ม.
:::: ห้องตัวอย่าง ::::
วันนี้ทางทีมงาน Homenayoo จะพาท่านผู้อ่านไปชมห้องตัวอย่างของทางโครงการด้วยกัน 2 ห้องด้วยกัน นั่นก็คือห้อง 1 Bedroom ขนาด 32.5 ตร.ม. และห้อง 2 Bedroom Penthouse ขนาด 66 ตร.ม. ไปชมรายละเอียดของห้องด้วยกันเลยค่ะ
::: 1 Bedroom ขนาด 32.5 ตร.ม. :::
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 32.50 ตร.ม. เป็นห้องที่มีขนาดกำลังพอดีกับจำนวน 1 – 2 คน ภายในห้องแบ่งสัดส่วนได้เป็นอย่างดี พอเข้าไปในห้องจะเจอส่วนครัวเป็นครัวเปิด ถัดเข้าไปเป็นส่วน Common Area ประกอบด้วยพื้นที่รับประทานอาหารและพื้นที่นั่งเล่น เชื่อมต่อกับระเบียงห้องและห้องนอน โดยห้องนอนจะถูกกั้นส่วนออกไปอย่างเป็นส่วนตัวด้วยกำแพงทึบ ภายในห้องนอนจะมี Walk – in Closet ในตัวซึ่งจะเชื่อมต่อกับห้องน้ำแบบ Sexy Bath ค่ะ
ทางโครงการตกแต่งห้องให้แบบ Fully Fitted พร้อมระบบ Home Automation ไม่ว่าจะเป็น Smart Gateway เชื่อมต่อ Mobile Application, Digital Door Lock, Smart Mirror, Ac Control, Curtain Control, Lighting Control และ Automatic Night Light เราไปดูห้องตัวอย่างด้วยกันเลย
เริ่มจากประตูทางเข้าห้อง ทางโครงการจะติดตั้ง Digital Door Lock ที่รองรับได้ถึง 5 Functions ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Biometrics หรือการแสกนลายนิ้วมือ, Key Card, Password, กุญแจ และรองรับการเชื่อมต่อกับ Application ที่เชื่อมต่อเข้ากับ Smart Mirror ภายในห้องน้ำหรือภายในโทรศัพท์มือถือ ทำให้สามารถเปิดล็อคประตูเองได้โดยไม่ต้องเดินมาเปิดประตู (ส่วนรายละเอียดของ Smart Mirror จะอธิบายให้ฟังในส่วนถัดไปนะคะ)
พอเข้ามาภายในห้องแล้วจะเจอส่วนครัวก่อนซึ่งเป็นครัวแบบเปิดทางฝั่งขวามือ ส่วนฝั่งซ้ายมือจะมีชั้น Built – in สำหรับเก็บรองเท้าและเก็บของได้ พอเข้าไปด้านในก็จะเป็นส่วนของ Common Area และห้องนอนค่ะ จะเห็นว่าที่พื้นห้องปูด้วย Engineering Wood สีแบบนี้เลย ตั้งแต่หน้าประตูเข้าไปถึงด้านในห้องนอน
ห้องนี้เป็นห้องแบบ Simplex มีความสูงฝ้าเพดานอยู่ที่ 3 เมตร เป็นฝ้าฉาบเรียบทาสีติดดวงโคมดาวน์ไลท์ให้ทั้งห้อง ส่วนเครื่องปรับอากาศที่ได้มาจะเป็นแบบ Wall Type ค่ะ
ในส่วนของชั้นเก็บรองเท้านั้นจะอยู่ติดกับประตูทางเข้าห้องเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีช่องสำหรับวางของที่ต้องพกออกนอกบ้านประจำอย่างเช่น กุญแจ, กระเป๋า หรือหมวก ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน
มาในส่วนครัวกันบ้าง ครัวที่เราจะได้มาจะมีหน้าตาแบบเดียวกับห้องตัวอย่างทุกประการเลยค่ะ ยกเว้นเครื่องใช้ไฟฟ้า 2 ชิ้นคือเครื่องซักผ้าและตู้เย็นที่จะไม่ได้ให้มาด้วย
ตัว Top เคาน์เตอร์เป็นหินควอทซ์สีขาวจาก Cotto Italia มีคุณสมบัติที่กันรอยขีดข่วนได้ดี ไม่มีรูพรุนเช็ดทำความสะอาดง่าย แถมยังทนต่อกรดด่างและสารเคมี ส่วนด้านหลังเคาน์เตอร์ติด Splash Board กระจกสีชามาให้ สามารถเช็ดทำความสะอาดพวกคราบน้ำมันออกได้ง่าย แถมด้านใต้ตู้เก็บของชั้นบนมีไฟติดให้แสงสว่างจึงสามารถทำอาหารได้สะดวกพร้อมปลั๊กไฟสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ในการทำครัว เช่น เครื่องปั่นน้ำผลไม้ เครื่องทำกาแฟ เป็นต้น
สำหรับเตาไฟฟ้าที่ได้มากับห้องนี้เป็นเตาเซรามิกขนาด 2 หัวของ Teka
เครื่องดูดควันที่ได้เป็นของ Teka เช่นกันค่ะ เป็นระบบดูดอากาศออกด้านนอกโครงการ ซึ่งจะสามารถระบายอากาศได้ดีกว่าระบบหมุนเวียนอากาศ
อ่างล้างจานเป็นของ Teka มีขนาดอ่างกำลังใช้งานได้สะดวก สังเกตตรงก้นอ่างจะดีไซน์ Slope มาที่จุดระบายน้ำทำให้ไม่มีน้ำขังอยู่เหมือนกับก้นอ่างแบบทั่วไป
ด้านล่างเคาน์เตอร์เป็นตู้เก็บของหน้าบานเมลามีนลายไม้ มีช่องสำหรับใส่เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า และมีช่องเก็บของสำหรับเก็บช้อน – ส้อม อุปกรณ์ต่างๆ และวางขวดเครื่องปรุงหรือขวดน้ำดื่มได้ ส่วนใต้อ่างล้างจานจะติดถังขยะมาให้ด้วยเลย ซึ่งฝาจะเปิดเองเมื่อเปิดบานออกค่ะ
ดีเทลตรงขอบบานเปิดเฉือน 45 องศา สามารถจับเปิดตัวบานได้ง่ายโดยไม่ต้องเพิ่งปุ่มมือจับ ทำให้ได้ดีไซน์บานเปิดที่เรียบสวย
ด้านบนเหนืออ่างล้างจานเราจะได้ Microwave พร้อมชั้นลอย Built – in ทำให้เราได้พื้นที่ในการเก็บของมากขึ้น
ถัดจากส่วนครัวจะเป็น Common Area ประกอบด้วยส่วนรับประทานอาหารและห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่ติดกับระเบียงห้อง
ส่วนรับประทานอาหารจะอยู่ระหว่างเคาน์เตอร์ครัวและห้องนั่งเล่น พื้นที่ตรงนี้สามารถวางชุดโต๊ะ – เก้าอี้ขนาด 2 ที่นั่งได้ โดยห้องตัวอย่างจัดวางเป็นโต๊ะกลมพร้อมเก้าอี้นั่งอีก 2 ตัว ซึ่งจริงๆ แล้วเราจะวางเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางติดผนังไปเลย แล้ววางเก้าอี้ให้หันไปทางฝั่งเดียวกันก็ได้ค่ะ
สำหรับห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดกับระเบียงห้อง เวลานั่งพักผ่อนก็สามารถ Take View เมืองไปได้ด้วย
สำหรับห้องนั่งเล่นจะมีพื้นที่วางโซฟา Love Seat ขนาด 2 ที่นั่ง พร้อมโต๊ะกาแฟและโต๊ะข้างได้อีกอย่างละ 1 ตัว ซึ่งระยะดูทีวีตรงนี้จะเหมาะกับทีวีขนาด 42 – 46 นิ้วค่ะ
ซึ่งทางโครงการจะให้ชั้นวางทีวีมาด้วยนะคะ หน้าบานปิดกระจกเงาสีชาเข้ากับชุดครัว และปิดผิวด้วยเมลามีนลายไม้ มีช่องเก็บของให้ 3 ช่อง
แต่ชั้นวางทีวีตัวนี้จะเหมาะกับการเก็บของและตั้งพวกของกระจุกกระจิกและของตกแต่งมากกว่า เพราะถ้าใช้วางทีวีจะทำให้ได้มุมมองที่ต่ำเกินไปหน่อย จึงแนะนำให้ใช้ทีวีแบบแขวนผนังจะเหมาะสมกว่าค่ะ
จากห้องนั่งเล่นจะเชื่อมต่อกับระเบียงห้องโดยกั้นส่วนด้วยประตูบานเลื่อนกระจกกรอบอลูมิเนียมสีดำ 2 ตอนแบบนี้ ซึ่งมีขนาดที่กว้างเต็มผนังทำให้รับแสงธรรมชาติเข้ามาได้เยอะและสามารถ Take View ได้กว้าง
พื้นระเบียงปูด้วยกระเบื้องเซรามิกขนาด 30 x 30 ซม. สีเทา ขนาดระเบียงกว้าง 0.60 x 2.20 เมตร สามารถวางกระถางต้นไม้ตกแต่ง หรือจะเป็นเก้าอี้ตัวเล็กๆ เพื่อนั่งรับลมชมวิวก็ได้ค่ะ
ทางโครงการเลือกวางตัว Condensing Units เอาไว้ข้างบนเพื่อให้เราสามารถใช้พื้นที่ระเบียงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และทำระแนงเหล็กไว้ให้ด้านบนเพื่อความเรียบร้อย นอกจากนี้ระเบียงจะมีไฟติดตั้งมาให้เป็นโคมดาวน์ไลท์ติดผนังให้ 1 ฝั่งสำหรับตอนกลางคืนด้วย
ภาพจากระเบียงมองย้อนกลับเข้ามาภายในห้อง
กลับเข้ามาภายในห้อง เราจะพาท่านผู้อ่านไปชมห้องนอนกันต่อ ซึ่งประตูจะอยู่ตรงกับบริเวณที่วางโต๊ะรับประทานอาหาร ซึ่งผนังที่ติดประตูของห้องนอนจะถูกเซ็ทเข้าไป เวลาเปิดประตูจากทางเข้าห้องมาก็จะไม่เห็นนะคะ จุดนี้เป็นดีเทลเล็กๆ ที่ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้เป็นอย่างดี
ด้านในห้องนอนจะถูกแบบออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน นั่นก็คือส่วนพักผ่อนฝั่งขวาและส่วนแต่งตัวกับห้องน้ำฝั่งซ้าย
เรามาดูในส่วนพักผ่อนกันก่อนค่ะ พื้นที่ภายในห้องสามารถรองรับเตียงนอนขนาด 6 ฟุตได้เลย
ซึ่งทางโครงการจะให้ฐานเตียงนอนมาให้เราพร้อมเลย โดยที่ใต้เตียงจะมี Sensor และไฟ LED ถ้าเราลุกเดินไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนไฟ LED ก็จะติดโดยอัตโนมัติค่ะ
พอวางเตียงนอนแล้วพื้นที่โดยรอบเตียงทั้งฝั่งซ้ายและขวาก็ยังเหลือให้สามารถเดินผ่านและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนได้สะดวก
ส่วนพื้นที่ปลายเตียงก็ยังเหลือสามารถเดินผ่านไปเปิดหน้าต่างได้สะดวกเช่นกัน หากเป็นคนที่ชอบดูทีวีตอนก่อนนอนก็สามารถติดตั้งทีวีแบบแขวนผนังเพิ่มเติมได้นะ
ส่วนช่องแสงของห้องนี้จะได้ขนาดใหญ่ ทำให้ห้องดูโปร่งสบายและรับแสงจากธรรมชาติได้เยอะ
สำหรับการระบายอากาศ จะมีหน้าต่างเป็นแบบบานกระทุ้งให้ 1 บาน
ซึ่งรางม่านของที่นี่จะเป็นแบบเปิด – ปิดอัตโนมัติได้ด้วยค่ะ และที่ผนังข้างหัวเตียงจะติดตั้งปุ่มกดเปิด – ปิดม่านมาให้จาก Somfy
ภาพจากอีกมุมภายในห้อง เดี๋ยวเราไปดูในส่วนแต่งตัวและห้องน้ำกันต่อ
โดยโครงการจะทำ Built – in ตู้เสื้อผ้ามาให้เลยซึ่งเป็นสัดส่วนดี ใช้งานได้ง่าย ตู้เสื้อผ้าที่ได้เป็นรูปตัว L สามารถเก็บเสื้อผ้าได้ค่อนข้างเยอะ มีระยะยืนแต่งตัวอยู่ที่ 80 ซม. โดยห้องมาตรฐานจริงๆ ทางโครงการจะติดตั้งประตูบานเลื่อนกระจกกั้นส่วนให้เรียบร้อยค่ะ
ลิ้นชักและช่องเก็บของต่างๆ ก็แบ่งมาให้เป็นอย่างดีสำหรับเก็บเครื่องประดับเอย ชุดชั้นในเอย ทำให้สามารถเก็บและหยิบใช้งานได้สะดวก
คราวนี้เราเข้ามาดูภายในห้องน้ำกันต่อค่ะ ห้องน้ำจะแบ่งเป็นส่วนแห้งและส่วนเปียกออกจากกันอย่างชัดเจน โดยมีฉากกั้นกระจกแบ่งส่วนมาให้เพื่อการใช้งานที่สะดวก
วัสดุภายในห้องน้ำใช้กระเบื้องจาก Cotto Italia ที่ได้ทั้งเรื่องมาตรฐานและความสวยงาม โดยกระเบื้องที่ใช้ปูพื้นจะเป็นแบบ Non – slip ด้วยนะ ซึ่งระดับของพื้นภายในห้องน้ำจะลดระดับลงจากพื้นห้องนอนเล็กน้อยเพื่อกันน้ำไหลย้อนค่ะ
ส่วนแรกที่เราจะดูกันก็คือส่วนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือค่ะ ตั้งบริเวณใต้เคาน์เตอร์และด้านหลังกระจกเงาก็จะมีช่องสำหรับจัดเก็บของได้ดี โดยตัวบานเปิดจะใช้เมลามีนลายไม้เป็นวัสดุปิดผิว
Top เคาน์เตอร์ใช้เป็นหินควอทซ์สีขาวจาก Cotto Italia เช่นกัน อ่างล้างมือวัสดุเป็นเซรามิกสีขาวแบบฝังครึ่งเคาน์เตอร์พร้อมก๊อกน้ำล้างมือจาก Kasch สังเกตบริเวณผนังด้านข้างมีปลั๊กไฟและช่องชาร์จแบบ USB ให้ด้วย
จุดที่ผู้เขียนชอบมากๆ เลยก็คือตัว Smart Mirror ที่เราเคยกล่าวถึง จะเป็นกระจกเงาตรงอ่างล้างมือค่ะ สิ่งที่เจ้าตัว Smart Mirror ทำได้นั้นจะไม่ต่างจาก Smart Phone ของเราเลย ซึ่งใช้ระบบ Android แบบ Touch Screen สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ดู Youtube ฟังเพลง เล่นเกมส์ และยังสามารถเชื่อมต่อกับ Application ของโครงการให้สามารถทำการ Booking พื้นที่ส่วนกลาง รับ Message จากส่วนกลางเพื่อร่วม Class ต่างๆ ประจำวันโดยสามารถกด Accept ได้เลย รวมถึงการเช็ค Smart Locker รับพัสดุ เช็คค่าน้ำ – ค่าไฟ เชื่อมต่อกับ Digital Door Lock ของห้องก็ได้เช่นกัน
แล้วก็ไม่ต้องกลัวเรื่องไอน้ำหรือการเช็ดทำความสะอาดนะคะ เพราะว่าตัวลำโพงเนี่ยจะซ่อนอยู่ด้านหลังกระจก
สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ประกอบการใช้งานจะเป็นของ Kasch มีระยะการนั่งที่ค่อนข้างกว้างขวางไม่อึดอัด มีปุ่มฟลัชติดผนังด้านหลัง และมีการก่อ Lower Wall สามารถวางของกระจุกกระจิกหรือหนังสืออ่านเล่นภายในห้องน้ำเพิ่มได้อีก
ส่วนอาบน้ำมีฉากกั้นกระจกนิรภัยติดตั้งไว้ให้ พร้อมติดราวแขวนผ้าเช็ดตัวให้ด้วย สามารถหยิบใช้งานได้สะดวก
ซึ่งตรงนี้ทางโครงการได้ก่อธรณีขึ้นมาประมาณ 2 ซม.เพื่อกันน้ำไหลย้อน มีพื้นที่ยืนอาบน้ำ (ไม่รวมพื้นที่อ่าง) ประมาณ 1.60×0.90 เมตร ถือว่ากว้างขวางทีเดียว สามารถยืนอาบน้ำได้สบายๆ ไม่อึดอัดค่ะ
ส่วนอาบน้ำจะติดตั้งฝักบัวพร้อมราวปรับระดับและ Rain Shower รองรับระบบน้ำร้อนน้ำเย็น แต่ต้องติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนเองนะ บริเวณฝ้าส่วนอาบน้ำจะติดตั้งพัดลมดูดอากาศมาให้ด้วย
ดีไซน์ฝักบัวเป็นแบบทรงสี่เหลี่ยม สามารถจับถนัดมือ
ส่วนอ่างอาบน้ำจะเป็นแบบ Sexy Bath มีขนาดใหญ่นอนอาบได้สะดวก ซึ่งจะอยู่ติดกับผนังกระจก ทำให้เราสามารถนอนแช่น้ำพร้อมดูทีวีได้เลย
นอกจากนี้สวิซต์และปลั๊กไฟที่ได้เป็นของ Siemens สีดำประกายมุก เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ Built – in ส่วนอื่นๆ ที่ได้มากับห้อง
::: 2 Bedroom Penthouse ขนาด 66 ตร.ม. :::
ห้อง 2 Bedroom Penthouse ขนาด 66 ตร.ม. เป็นห้องที่มีขนาดกำลังพอดีกับจำนวน 2 – 3 คน ภายในห้องแบ่งสัดส่วนได้เป็นอย่างดี พอเข้าไปในห้องจะเจอโถงทางเดิน ต่อเนื่องเข้าไปยังส่วน Common Area ประกอบด้วยพื้นที่รับประทานอาหารและพื้นที่นั่งเล่น เชื่อมต่อกับ ห้องครัวแบบเปิด ระเบียงห้อง และเชื่อมต่อกับโถงทางเดินไปยังส่วนของห้องน้ำและห้องนอนอีก 2 ห้อง โดยห้องนอนใหญ่จะมี Walk – in Closet ในตัวซึ่งจะเชื่อมต่อกับห้องน้ำแบบ Sexy Bath ค่ะ
ทางโครงการตกแต่งห้องให้แบบ Fully Fitted พร้อมระบบ Home Automation ไม่ว่าจะเป็น Smart Gateway เชื่อมต่อ Mobile Application, Digital Door Lock, Smart Mirror, Ac Control, Curtain Control, Lighting Control และ Automatic Night Light เราไปดูห้องตัวอย่างด้วยกันเลย
เริ่มจากประตูทางเข้าห้อง ทางโครงการจะติดตั้ง Digital Door Lock ที่รองรับได้ถึง 5 Functions ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Biometrics หรือการแสกนลายนิ้วมือ, Key Card, Password, กุญแจ และรองรับการเชื่อมต่อกับ Application ที่เชื่อมต่อเข้ากับ Smart Mirror ภายในห้องน้ำหรือภายในโทรศัพท์มือถือ ทำให้สามารถเปิดล็อคประตูเองได้โดยไม่ต้องเดินมาเปิดประตู
พอเข้ามาภายในห้องแล้วจะเจอส่วนโถงทางเดินก่อน ที่ฝั่งขวามือจะมีชั้น Built – in สำหรับเก็บรองเท้าและเก็บของได้ พอเข้าไปด้านในก็จะเป็นส่วนของ Common Area ค่ะ
จะเห็นว่าที่พื้นห้องปูด้วย Engineering Wood เหมือนห้องที่แล้ว แต่บริเวณโถงทางเข้าปูด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนสามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่า เพราะบริเวณจุดทางเข้า – ออกของห้องจะเป็นพื้นที่ที่ใส่และถอดรองเท้า จึงเป็นจุดที่สกปรกง่ายกว่าจุดอื่นๆ ภายในห้อง
ตู้เก็บของและเก็บของเท้า Built – in ค่ะ ห้องนี้จะปิดผิวหน้าบานด้วย Hi Gloss สีครีมดูหรู
จากโถงทางเดินจะออกมาสู่ส่วน Common Area ที่ประกอบด้วยห้องนั่งเล่นและส่วนรับประทานอาหาร จะเห็นว่าตั้งแต่ส่วนนี้เป็นต้นไปจะปูพื้นด้วย Engineering Wood นะคะ ส่วนฝ้าเพดานของห้องนี้จะเป็นฝ้าฉาบเรียบติดดวงโคมดาวน์ไลท์ มีสูงเป็นพิเศษถึง 3.5 เมตรเลย พร้อมติดตั้งเครื่องปรับอากาศแบบ Conceal Type ให้เรียบร้อยเลยด้วย
เราเริ่มจากห้องนั่งเล่นกันก่อนเลย ห้องตัวอย่างจัดวางโซฟาขนาด 4 ที่นั่งพร้อมโต๊ะกาแฟมาให้ดูพื้นที่ใช้สอย
โดยจะวางโซฟาชิดไปทางริมหน้าต่างหน่อย แต่ก็ยังเหลือพื้นที่ให้เดินผ่านได้นะคะ หรือเราจะวางโซฟาเบดก็ยังมีที่พออยู่นะ
ฝั่งชั้นวางทีวีทางโครงการก็จะให้ชั้นวางทีวีแบบเดิมมาค่ะ
ด้านหลังห้องนั่งเล่นก็จะเป็นส่วนรับประทานอาหาร
ซึ่งส่วนนี้จะเชื่อมต่อกับห้องครัวแบบเปิด ทางห้องตัวอย่างวางโต๊ะยาวขนาด 6 ที่นั่งมาให้ดูพื้นที่ใช้สอย ซึ่งกำลังเหมาะสมและลงตัวกับพื้นที่ค่ะ
จะเห็นว่าบริเวณโดยรอบโต๊ะก็ยังเหลือพื้นที่อยู่เยอะ นั่งแล้วไม่อึดอัด และยังสามารถเดินผ่านได้สะดวกอยู่ค่ะ
คราวนี้เรามาดูห้องครัวกันต่อ ห้องครัวที่ได้จะเป็นครัวแบบเปิด ซึ่งทางโครงการทำ Built – in เคาน์เตอร์มาให้อย่างสวยงามรวมถึงโต๊ะแบบบาร์ เหมาะสำหรับการนั่งทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ หรือการนั่งเทสไวน์และชีส
เคาน์เตอร์ครัวที่เราจะได้มากับห้องมาตรฐานจะเหมือนกับห้องตัวอย่างทุกประการเลยนะคะ โดยเราจะได้ เตาเซรามิก, เครื่องดูดควัน, อ่างล้างจาน, เตาอบ รวมถึงตู้เย็นแบบ Built – in ด้วยนะ ด้านหลังเคาน์เตอร์ติดกระจกสีชามาให้เป็น Splash Board ด้วย สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายค่ะ
เตาเซรามิกได้ขนาด 4 หัวพร้อมเครื่องดูดควันจาก Kuppersbusch
เตาอบจาก Kuppersbusch เช่นกันซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำจาก Germany ค่ะ
อ่างล้างจานของ Teka ขนาดเท่าเดิม
ส่วนใต้เคาน์เตอร์ก็มีช่องสำหรับเก็บอุปกรณ์ต่างๆ มาให้เราเยอะแยะเลยนะคะ อย่างบริเวณใต้เตาปรุงอาหารก็จะมีชั้นสำหรับเก็บพวกขวดซอสและเครื่องปรุงรสให้ สามารถเลื่อนเปิดออกมาหยิบใช้งานได้สะดวก
ส่วนใต้อ่างล้างจานก็จะมีช่องสำหรับเก็บจาน – ชาม อุปกรณ์ที่ใช้ทำความสะอาด และพวกช้อน – ส้อม นอกจากนี้บริเวณเหนือเคาน์เตอร์ก็จะมีชั้นลอย Built – in สามารถเก็บของได้เพิ่มเติมอีกด้วย
ส่วนจุดที่พิเศษขึ้นมาของห้องแบบ Penthouse ก็คือ เราจะได้ตู้เย็นแบบ Built – in มาด้วย รวมถึงตู้เก็บเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าและชั้นวางอุปกรณ์สำหรับการซักผ้าและรีดผ้า จะเห็นว่าหน้าบานเปิดของ Built – in บริเวณส่วนครัวทั้งหมดจะเป็น Hi Gloss สีครีมนะคะ
จะสังเกตเห็นว่า นอกจากห้องนี้จะมีฝ้าเพดานที่สูงถึง 3 เมตรแล้ว ก็ยังมีหน้าต่างขนาดใหญ่ที่สูงเกือบถึงฝ้าด้วยเช่นกัน ส่วนฝั่งซ้ายที่เป็นประตูบานเลื่อนออกสู่ระเบียงจะไม่สูงมากเพราะซ่อนตัว Condensing Units อยู่ข้างบนค่ะ
บานเลื่อนสามารถเปิดออกสู่ระเบียงของห้องได้ พื้นระเบียงปูด้วยกระเบื้องเซรามิกขนาด 30 x 30 ซม. สีเทา ขนาดระเบียงกว้าง 0.60 เมตร สามารถวางกระถางต้นไม้ตกแต่ง หรือจะเป็นเก้าอี้ตัวเล็กๆ เพื่อนั่งรับลมชมวิวก็ได้ค่ะ
ทางโครงการเลือกวางตัว Condensing Units เอาไว้ข้างบนเพื่อให้เราสามารถใช้พื้นที่ระเบียงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และทำระแนงเหล็กไว้ให้ด้านบนเพื่อความเรียบร้อย
ภาพจากมุมระเบียงมองย้อนกลับเข้ามาภายในห้อง
จากส่วน Common Area จะเชื่อมสู่ห้องน้ำและห้องนอนอีกทั้ง 2 ห้องผ่านโถงทางเดินนี้ค่ะ โดยประตูทางฝั่งซ้ายคือประตูห้องน้ำ, ตรงกลางคือห้องนอนใหญ่ และฝั่งขวาคือห้องนอนเล็ก
เริ่มจากห้องน้ำก่อน จะเป็นห้องน้ำสำหรับแขกและห้องนอนเล็ก ภายในใช้วัสดุและสุขภัณฑ์เหมือนห้องที่แล้วทุกประการเพียงแต่มีการตัดส่วนที่เป็น Sexy Bath ออกไป
ส่วนแรกที่เราจะดูกันก็คือส่วนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือค่ะ ตั้งบริเวณใต้เคาน์เตอร์และด้านหลังกระจกเงาก็จะมีช่องสำหรับจัดเก็บของได้ดี
Top เคาน์เตอร์ใช้เป็นหินควอทซ์สีขาวจาก Cotto Italia เช่นกัน อ่างล้างมือวัสดุเป็นเซรามิกสีขาวแบบฝังครึ่งเคาน์เตอร์พร้อมก๊อกน้ำล้างมือจาก Kasch สังเกตบริเวณผนังด้านข้างมีปลั๊กไฟและช่องชาร์จแบบ USB ให้ด้วย
ในห้องนี้เราก็จะได้ Smart Mirror มาด้วยเหมือนกันนะคะ สะดวกสบายมากๆ
สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ประกอบการใช้งานจะเป็นของ Kasch มีระยะการนั่งที่ค่อนข้างกว้างขวางไม่อึดอัด
ส่วนอาบน้ำมีฉากกั้นกระจกนิรภัยติดตั้งไว้ให้ พร้อมติดราวแขวนผ้าเช็ดตัวให้ด้วย สามารถหยิบใช้งานได้สะดวก
ซึ่งตรงนี้ทางโครงการได้ก่อธรณีขึ้นมาประมาณ 2 ซม.เพื่อกันน้ำไหลย้อน มีพื้นที่ยืนอาบน้ำกว้างขวางทีเดียว สามารถยืนอาบน้ำได้สบายๆ ไม่อึดอัด
ส่วนอาบน้ำจะติดตั้งฝักบัวพร้อมราวปรับระดับและ Rain Shower รองรับระบบน้ำร้อนน้ำเย็น บริเวณฝ้าส่วนอาบน้ำจะติดตั้งพัดลมดูดอากาศมาให้ด้วย
เรามาดูห้องนอนเล็กที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องน้ำกันต่อ แม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นห้องนอนเล็กแต่ก็สามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้อย่างครบครัน รวมถึงเตียงนอนขนาด 5 ฟุตได้ด้วยนะ จะเห็นว่าห้องนี้จะได้ช่องแสงขนาดใหญ่เท่าหน้าห้องมาด้วย จึงทำให้ในเวลากลางวันห้องจะสว่างโดยไม่ต้องเปิดไฟช่วยเลย โดยจะมีหน้าต่างบานกระทุ้งมาเป็นช่องระบายอากาศให้ 1 บาน
ภายในห้องนี้ทางโครงการก็จะให้ฐานเตียงนอนขนาด 5 ฟุตมาด้วยพร้อมไฟ LED และ Sensor ที่ใต้ฐานเตียงมาด้วยค่ะ จะเห็นว่าก็ยังเหลือพื้นที่โดยรอบเตียงให้สามารถเดินผ่านและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนได้สะดวกอยู่นะ
ส่วนฝั่งปลายเตียงก็ยังสามารถเดินผ่านได้นะคะ ถ้าใครติดดูทีวีตอนกลางคืนแนะนำให้ใช้ทีวีแบบแขวนผนังค่ะ
นอกจากนี้ภายในห้องเรายังได้ตู้เสื้อผ้า Built – in แบบในห้องตัวอย่างมาด้วยค่ะ
ระยะข้างเตียงฝั่งนี้จึงควรเว้นให้เหลือเยอะหน่อย เพราะจะได้สามารถเปิด – ปิดบานและยืนแต่งตัวได้สะดวก
และเราจะปิดท้ายด้วยห้องนอนใหญ่ค่ะ ด้านในห้องนอนจะถูกแบบออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน นั่นก็คือส่วนพักผ่อนฝั่งขวาและส่วนแต่งตัวกับห้องน้ำฝั่งซ้าย
เรามาดูในส่วนพักผ่อนกันก่อนค่ะ พื้นที่ภายในห้องสามารถรองรับเตียงนอนขนาด 6 ฟุตได้เลย
ซึ่งทางโครงการจะให้ฐานเตียงนอนมาให้เราพร้อมเลย โดยที่ใต้เตียงจะมี Sensor และไฟ LED เหมือนห้องที่แล้ว
ส่วนพื้นที่ปลายเตียงก็ยังเหลือสามารถเดินผ่านไปเปิดหน้าต่างได้สะดวกเช่นกัน
ในห้องนี้เราก็จะได้ตู้เสื้อผ้า Built – in มาด้วย 1 ตู้ ด้านข้างยังเหลือพื้นที่ให้เราสามารถตั้งโต๊ะเครื่องแป้งได้ 1 ตัว
คราวนี้เราจะเข้าไปดูภายในห้องน้ำกันต่อค่ะ
ภายในห้องน้ำห้องนี้จะเหมือนกับห้อง 1 Bedroom ทุกประการเลยนะคะทั้งในเรื่องของวัสดุและสุขภัณฑ์ เพียงแต่ว่าส่วนของ Sexy Bath จะเปลี่ยนเป็นผนังทึบธรรมดาไม่ใช่กระจกใส
อ่างล้างมือแบบฝังครึ่งเคาน์เตอร์พร้อม Smart Mirror ให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย
โถสุขภัณฑ์จะมีความพิเศษขึ้นมาอีกประการขึ้นมาก็คือจะเป็นโถแบบ Washlet พร้อม Remote Control ติดไว้ให้ด้านข้าง
ส่วนอาบน้ำมีฉากกั้นกระจกนิรภัยติดตั้งไว้ให้ พร้อมติดราวแขวนผ้าเช็ดตัวให้ด้วย สามารถหยิบใช้งานได้สะดวก ภายในติดตั้งชุดฝักบัวอาบน้ำพร้อม Rain Shower และอ่างอาบน้ำให้เหมือนเดิมค่ะ
:::: ราคา (เมษายน 2562) ::::
ราคาเริ่มต้น 8.9 ล้านบาท
ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์พิเศษ คลิก : https://www.parkorigin.co.th/Thonglor/
***ข้อมูลราคา และโปรโมชั่นอาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดติดต่อสำนักงานขายเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
:::: สรุป ::::
ทำเลที่ตั้งโครงการ โครงการ Park Origin ทองหล่อตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ 10 หรือซอยเอกมัย 5 เรียกว่าเป็นทำเลที่อยู่ใจกลางทองหล่ออย่างแท้จริง และยังเป็นทำเลที่เชื่อมต่อระหว่างซอยทองหล่อและเอกมัย นับว่าเป็นทำเลอีกทำเลหนึ่งที่ฮอตฮิตมากที่สุดและมีราคาที่ดินสูงที่สุดแห่งนึงในกรุงเทพฯ เลย เพราะเรียกได้ว่าเป็นทำเลที่สะดวกสบายทั้งในเรื่องของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่หรูหรา การเดินทางที่สามารถเชื่อมต่อถนนสายหลัก รวมถึงการเข้าถึงระบบการขนส่งสาธารณะรูปแบบรางได้ง่าย แวดล้อมไปด้วยศูนย์การค้า Community Mall ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น DONDON DONKI, The Commons, J Avenue รวมถึงร้านอาหารชื่อดัง คาเฟ่ และไนท์คลับหลายแห่งบนเส้นทองหล่อ เอกมัย และสุขุมวิทค่ะ
การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว การเดินทางสามารถเข้า – ออกได้ 2 ทางเพราะซอยทองหล่อ 10 เป็นซอยที่เชื่อมระหว่างซอยทองหล่อและเอกมัย เป็นถนน 2 เส้นที่อยู่คู่ขนานกันที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรีซึ่งรถติดมากทีเดียว แต่ภายในซอยทองหล่อและเอกมัยก็ยังพอมีทางลัดเลาะอยู่บ้างค่ะ และยังดีที่ตัวโครงการอยู่ใกล้จุดขึ้นลงทางพิเศษฉลองรัช, ทางพิเศษศรีรัช และ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทั้งขาเข้าและออกเมืองจึงทำให้การเดินทางด้วยรถส่วนตัวไม่ลำบากเท่าไรนัก
การเดินทางโดยรถสาธารณะ นับว่าสะดวกเลยนะคะ เพราะบริเวณโครงการเป็นทำเลที่มีรถสาธารณะผ่านเยอะไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซค์ โดยเราสามารถใช้ Application ทั้ง Grab Taxi และ Line Taxi ประกอบกันไปได้ และก็ยังมีรถประจำทางทั้งรถสองแถวและรถเมล์บนเส้นทองหล่อและเอกมัย ซึ่งเราสามารถเรียกรถไปต่อที่ BTS ทองหล่อและ BTS เอกมัยที่อยู่ห่างจากโครงการออกไปประมาณ 1.4 – 1.5 กม.เท่านั้นเองค่ะ
การออกแบบโครงการ และวัสดุ ตัวโครงการเป็นคอนโดมิเนียมระดับ Ultimate Class มี 3 อาคาร สูง 39 ชั้น, 54 ชั้น และ 59 ชั้น บนเนื้อที่ 5 – 3 – 90.9 ไร่ กับห้องพักอาศัยจำนวน 1182 ยูนิต ที่ถูกออกแบบด้วยบริษัทออกแบบที่มีชื่อเสียงระดับสากล ทั้ง Tandam , DWP และ Trop เรียกได้ว่างานดีไซน์ไม่ได้ดีแค่เปลือกนอกเท่านั้น แน่นอนว่าดีเข้าไปถึงเนื้อใน โดยแสดงให้เห็นผ่านทางแนวคิดของโครงการจากรูปทรงเปลือกไม้ที่อ้าออกเผยถึงแก่นด้านในซึ่งเป็นส่วนของ Facilities ของโครงการทั้งหมดกว่า 50 รายการ ทั้ง 3 อาคารก็มีแนวคิดการออกแบบที่แตกต่างกันออกไปแต่มีความสอดคล้องต่อเนื่องกัน อย่างอาคาร A มีแนวคิดจาก Sculpture ที่สง่างามและมั่นคง อาคาร B มีแนวคิดมาจาก Lake แสดงเส้นสายที่โค้งลื่นไหลและต่อเนื่อง ส่วนอาคาร C มีแนวคิดมาจาก Tree เน้นเส้นสายที่มีความเป็นธรรมชาติแต่ก็ยังมีความทันสมัยและแอคทีฟ
ซึ่งแต่ละอาคารจะสามารถเชื่อมต่อกันได้เฉพาะในส่วนที่เป็นชั้นพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้สะดวกต่อการใช้งานของลูกบ้านและยังคงความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านแต่ละอาคาร ซึ่งมีจำนวนยูนิตต่ออาคารไม่เกิน 13 ยูนิต/ชั้น และทางโครงการพยายามจัดการโถงทางเดินแบบ Single Corridor ทำให้ลูกบ้านได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า ซึ่งงานระบบจะถูกจัดเอาไว้ในบริเวณส่วน Core ของอาคารทำให้มีระยะจากหน้าห้องเดินไปสู่โถงลิฟท์เฉลี่ยพอๆ กันทุกห้อง โดยอาคาร A มีลิฟท์โดยสาร 3 ตัว ส่วนอาคาร B และ C มีลิฟท์โดยสาร 4 ตัว คิดเป็นอัตราส่วนลิฟท์อยู่ที่ราวๆ 108 : 1 เกินค่ามาตรฐานมาเล็กน้อยแต่ก็ยังพอรับได้ค่ะ
ส่วนรูปแบบห้องภายในโครงการนั้นก็มีหลากหลายนะคะ ภายในอาคาร A และ B มีห้องพักแบบ Simplex ได้ฝ้าสูงถึง 3.00 เมตรนับว่าโปร่งโล่งทีเดียว ส่วนอาคาร C จะมีห้องพักแบบ Duo Space (Loft) ฝ้าสูง 4.25 เมตร (ชั้นล่าง 2.10 เมตร, ชั้นบน 2.00 เมตร) และห้อง Penthouse ฝ้าสูงถึง 3.50 เมตรเลยค่ะ นับว่าทางโครงการมีการออกแบบห้องมาได้เป็นอย่างดี ขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่จึงสามารถจัดห้องได้ง่ายใช้งานได้ทุกตารางเมตร ให้สเป็กวัสดุที่ดีและสวยงาม ทางโครงการแต่งห้องมาให้แบบ Fully Fitted ได้ เฟอร์นิเจอร์ Built – in มาครบยกเว้นแบบลอยตัว ทั้งครัว, ห้องน้ำ, ห้องนั่งเล่น และห้องนอน โดยทุกห้องจะมีอ่างอาบน้ำและ Rain Shower แม้กระทั่งห้องขนาด 1 Bed ก็ยังได้มาครบเหมือนกัน
นอกจากนี้เรายังได้ระบบ Home Automation มากับตัวห้องด้วย ไม่ว่าจะเป็น Smart Mirror, Digital Door Lock ที่รองรับได้ 5 Functions, ระบบเปิด – ปิดม่าน ไฟ เครื่องปรับอากาศ แบบอัตโนมัติ และมี Automatic Night Light ควบคุมการเปิด – ปิด ด้วย Motion Sensor เมื่อลงจากเตียงในเวลากลางคืนด้วย เรียกว่าอยู่เองก็ดี หรือจะปล่อยเช่าชาวต่างชาติก็ง่ายค่ะ
สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบรักษาความปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวกของที่นี่เรียกว่าให้มาแบบไม่มีกั๊กกว่า 50 รายการ ซึ่งสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และอำนวยความสะดวกคนเมืองรุ่นใหม่ รองรับทั้งการพักผ่อน การออกกำลังกาย การทำธุรกิจ คลาสการเรียนรู้ และงานอดิเรก โดยแต่ละอาคารจะมี Facilities อยู่ชั้นบนเป็น Double Floor สามารถเดินเชื่มถึงกันได้ทุกอาคารผ่าน Sky Bridge ซึ่งแต่ละอาคารจะมี Facilities ประเภทที่ใกล้เคียงกันอยู่บ้าง แต่ลักษณะการใช้งานจะต่างกันออกไป เรียกว่าไม่ซ้ำแบบกันเลยค่ะ นอกจากนี้ทางโครงการยังเน้นความเป็นธรรมชาติ ที่ชั้นล่างมีพื้นที่สวนกว่า 2 ไร่ มีการออกแบบที่คำนึงถึงต้นไม้ใหญ่ในพื้นที่เดิม โดยยังคงต้นไม้ไว้บางส่วนและเน้นพื้นที่สีเขียวทำให้มีความร่มรื่นตั้งแต่ด้านหน้าโครงการเลยค่ะ
:::: สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ::::
TEL : 02 300 0000
WEBSITE : https://www.parkorigin.co.th/Thonglor/
หากเพื่อนๆเห็นว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด Like เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงาน ขอบคุณค่ะ
และมีความคิดเห็นหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวโครงการ สามารถ Comment ได้ที่ด้านล่างของรีวิวค่ะ
แสดงความคิดเห็น