EP.412 รีวิว คอนโด ดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว The Origin Ratchada-Ladprao
Written by : Nin Yanin Phueksoongnoen
สวัสดีค่ะผู้อ่านชาว Homenayoo ที่รักทุกคน วันนี้เราจะพามาชมโครงการ The Origin รัชดา-ลาดพร้าว ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ จาก Origin Property กันค่ะ
ตัวโครงการตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว เพียง 450 เมตร และห่างจาก รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลือง สถานีรัชดาภิเษก เพียง 25 เมตร เท่านั้น
เดินทางสะดวกเพราะ เข้า – ออกได้ทั้งจากถนนลาดพร้าว และ ถนนรัชดาภิเษก ใกล้ ถนนพหลโยธิน, ถนนวิภาวดี – รังสิต, ทางพิเศษฉลองรัช และ ทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์
อีกทั้งยังอยู่บนจุดศูนย์กลางของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า, โรงพยาบาล, โรงเรียนชื่อดัง และแหล่งงาน
ดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว เป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น มี 1 อาคาร บนพื้นที่โครงการขนาด 1 – 3 – 28.25 ไร่ เป็นส่วนตัวด้วยห้องชุดพักอาศัยจำนวนเพียง 208 ยูนิต + 1 Shop มีห้องแบบ 1 Bedroom, 1 Bedroom Smart Walk – in Closet, 1 Bedroom Plus และ 2 Bedroom ขนาดเริ่มต้นที่ 24.5 – 54.5 ตร.ม. ออกแบบมาอย่างหรูหราในสไตล์ Classic Heritage โครงการขายห้องแบบ Fully Fitted พร้อมเครื่องปรับอากาศ, Digital Door Lock ระบบ 1 Pass Password (Guest Pin) และระบบ Home Automation ซึ่งคาดว่าทางโครงการจะแล้วเสร็จในปี 2564 ค่ะ
สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการมีให้ครบครัน อาทิ Visitor Lobby, 1st FL. 24 hr. Co – working Space, Mailbox & Smart Locker, Self – Storage, Sharing Service, Garden, Swimming Pool, Fitness, Lounge, 3rd FL. Private Room, Meeting Room, Multi – function Studio, Office Supply, Roof Garden, Yoga Area, ลิฟต์โดยสารระบบล็อคชั้น, ที่จอดรถ 61% รวม Auto Parking, Access Card Control, CCTV, รปภ. 24 ชม. และบริการแม่บ้านทำความสะอาดห้องที่ผ่านการเทรนมาจากโรงแรมดุสิตธานี เดือนละ 1 ครั้งเป็นเวลา 1 ปี ในราคาเริ่มต้นที่ 2.29 ล้านบาท
ส่วนรายละเอียดของโครงการจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญติดตามอ่านที่ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษ คลิก https://www.origin.co.th/
คอนโด THE ORIGIN ทำเลอื่นๆ ที่น่าสนใจ…
THE ORIGIN รัชดา-ลาดพร้าว
THE ORIGIN ราม 209 อินเตอร์เชนจ์
THE ORIGIN อ่อนนุช
THE ORIGIN สุขุมวิท 105
THE ORIGIN สุขุมวิท-สายลวด E22
THE ORIGIN รามอินทรา 83 สเตชั่น
THE ORIGIN พหล-สะพานใหม่
คอนโด ORIGIN Plug & Play ทำเลอื่นๆ ที่น่าสนใจ…
ORIGIN Plug & Play รามอินทรา
ORIGIN Plug & Play รามคำแหง ทริปเปิ้ล สเตชั่น
ORIGIN Plug & Play นนทบุรี สเตชั่น
ชื่อโครงการ | ดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว / THE ORIGIN Ratchada-Ladprao |
เจ้าของโครงการ | ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ / Origin Property |
เนื้อที่ทั้งหมด | 1 – 3 – 28.25 ไร่ |
จำนวนตึก | 1 อาคาร |
จำนวนชั้น | 8 ชั้น |
จำนวนห้อง |
|
ลักษณะห้องและขนาดห้อง |
|
ที่จอดรถทั้งหมด | ประมาณ 61% (รวมจอดซ้อนคัน) |
จำนวนลิฟต์ | 2 ตัว |
โซน | เขตจตุจักร |
ขนส่งสาธารณะ |
|
ที่ตั้ง | ซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 |
กำหนดการ | n/a |
ปีที่สร้างเสร็จ | คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 |
ราคา | เริ่ม 2.29 ล้านบาท (ก.ค. 62) |
ราคาเฉลี่ยต่อ ตร.ม | 110,000 บาท/ตร.ม. (ก.ค. 62) |
ค่าส่วนกลางและกองทุน | n/a |
สถานที่สำคัญใกล้เคียง | ห้างสรรพสินค้า
สถานศึกษา
ศูนย์การแพทย์
อื่นๆ
สถานที่ราชการและอาคารสำนักงาน
|
สิ่งอำนวยความสะดวก |
|
จุดเด่นของโครงการ | THE ORIGIN รัชดา – ลาดพร้าว คอนโดใหม่ บนทำเลศักยภาพใจกลางศูนย์รวมสิ่งอำนวยความสะดวก และบนจุดศูนย์กลางการเชื่อมต่อระบบราง ใกล้รถไฟฟ้า MRT (สายสีเหลือง) สถานีรัชดาภิเษก 25 เมตร และรถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว 450 เมตร |
:::: ที่ตั้งโครงการ ::::
ซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
พิกัดโครงการ : 13.807683, 100.575613
พิกัดสำนักงานขาย : 13.806325, 100.575293
แผนที่จากทางโครงการ The Origin รัชดา – ลาดพร้าว ในซอยลาดพร้าว 23 บนจุดศูนย์กลางการเชื่อมต่อระบบราง ห่างจาก รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว เพียง 450 เมตร และห่างจาก รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลือง สถานีรัชดาภิเษก เพียง 25 เมตร เข้า – ออกได้ทั้งจากถนนลาดพร้าว และ ถนนรัชดาภิเษก ใกล้ ทางพิเศษฉลองรัช และ ทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ อยู่บนจุดศูนย์กลางของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า, โรงพยาบาล, โรงเรียนชื่อดัง และแหล่งงาน
ทำเลที่ตั้ง The Origin รัชดา – ลาดพร้าว เป็น Low rise Condominium ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 23 ตรงแยกลาดพร้าว – รัชดาพอดี หลายๆ คนคงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าถนนลาดพร้าวเป็นเส้นที่มีความเจริญและความอุดมสมบูรณ์สูงมาก
ทั้ง 2 ฝั่งถนนจะมีทั้งออฟฟิศ, อาคารพาณิชย์, ธนาคาร, เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์, คอนโดมิเนียมทั้ง High rise และ Low rise และบ้านพักอาศัยดั้งเดิม ตอนนี้ลาดพร้าวก็เรียกได้ว่าเป็นย่าน Vertical Living Area หรือ พื้นที่อยู่อาศัยในแนวตั้งอีกหนึ่งย่าน
ซึ่งทำเลนี้ถือว่าอยู่บนจุดศูนย์กลางของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสาธารณะระบบราง และ Lifestyle ที่มีครบหมดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร, Shopping Mall, Department Store, Hypermarket, Mega Project ในอนาคต, โรงพยาบาล, โรงเรียนชื่อดัง และแหล่งงาน
รวมถึงอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ (Central Business District) ย่านรัชดาภิเษก – พระราม 9 ซึ่งเป็น CBD ใหม่ของกรุงเทพมหานครด้วยค่ะ
เรียกว่าเป็นทำเลที่น่าสนใจทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเพื่ออยู่เอง หรือจะซื้อสำหรับลงทุน – ปล่อยเช่า เพราะค่าเช่าห้องที่จะต้องจ่ายรายเดือนในคอนโดมิเนียม และใน Service Apartment ในย่านนี้ เรียกว่ามีความสูสีกับการผ่อนคอนโดใหม่ในระดับที่ใกล้เคียงกันแล้วค่ะ
ถ้าดูมูลค่าของทำเลนี้จาก Growth Rate Chart ของคอนโด Low Rise ในย่านลาดพร้าวแล้ว จะมีการเติบโตเฉลี่ย (Average Growth) ที่สามารถโตไปได้ถึง 15% ภายใน 4 ปี และกราฟก็จะยิ่งสูงชันขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ Mega Project ใหญ่ๆ รอบทำเลนี้สร้างเสร็จในปี 2566 จึงเป็นอีกทำเลหนึ่งที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในแง่ของการลงทุนเพื่อสร้างผลกำไรค่ะ
การเดินทางด้วยรถยนต์ ถือว่าสะดวกมาก หากมองในมุมมองของคนที่ทำงานอยู่ในช่วง รัชดาภิเษก – ลาดพร้าว – วิภาวดี เพราะโครงการตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 23 ใกล้แยกลาดพร้าว – รัชดาเลย จากถนนลาดพร้าวจะสามารถเชื่อมต่อไปยังถนนใหญ่ได้อีกหลายสาย
ทั้ง พหลโยธิน ใช้วิ่งออกไปทางอนุสาวรีย์ต่อไปถึงอโศก หรือออกไปทางสะพานใหม่ได้, วิภาวดี – รังสิต วิ่งขนานกับเส้นพหลโยธิน แต่มีการจราจรที่คล่องตัวกว่าค่ะ
ตัวโครงการอยู่ใกล้จุดขึ้นทางยกระดับอุตราภิมุข หรือ ดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งเชื่อมต่อกับทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษศรีรัช ไปได้ทั้งทางบางนาและชลบุรี, รัชดาภิเษก ตัดกับถนนลาดพร้าวตรงแยกลาดพร้าว – รัชดา ใช้วิ่งลงไปทางพระราม 9 ได้, ประดิษฐ์มนูธรรม มีจุดขึ้นทางด่วนรามอินทราอาจณรงค์ เป็นอีกตัวเลือกที่สามารถใช้ออกไปทางบางนาได้ หรือจะวิ่งขึ้นไปทางวัชรพลก็ได้ค่ะ
นอกจากนี้บนเส้นลาดพร้าวก็ยังมีทางลัดไปออกถนนเกษตร – นวมินทร์ (ประเสริฐมนูกิจ) ได้จาก ซอยลาดพร้าว 41 และ ถนนโชคชัย 4 เข้าถนนลาดพร้าววังหิน และ ถนนนาคนิวาส เชื่อมต่อกับถนนสุคนธสวัสดิ์ ใช้ออกเกษตร – นวมินทร์ได้สะดวก
จากเส้นเกษตร – นวมินทร์ยังมี ซอยมัยลาภ และ ซอยลาดปลาเค้า ใช้เป็นทางลัดออกถนนรามอินทราได้อีกด้วย
บนเส้นรัชดาภิเษกเองก็จะมีซอยโชคชัยร่วมมิตร ที่สามารถใช้เข้าถนนวิภาวดี – รังสิตได้ จากถนนวิภาวดี – รังสิตจะเชื่อมกับซอยพหลโยธิน 18 (ซอยวิภาวดี – รังสิต 3) ออกเส้นพหลโยธินตรงแยกกำแพงเพชรพอดี
แต่ข้อเสียของถนนลาดพร้าว ก็คือ เป็นถนนที่ขึ้นชื่อเรื่องปริมาณรถที่มากตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังมีแยกไฟแดงและทางกลับรถอยู่อีกเป็นระยะๆ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ถนนซอยเล็กๆในการลัดเลาะไปออกถนนเส้นอื่นๆ ประกอบด้วย จะช่วยประหยัดเวลาได้เยอะมากค่ะ
และเนื่องจากว่าตัวโครงการนั้นอยู่ในซอยลาดพร้าว 23 เป็นซอยที่สามารถเข้า – ออกได้ทั้งจาก ถนนลาดพร้าว และ ถนนรัชดาภิเษก จึงมีข้อได้เปรียบที่ว่า หากจะเดินทางไปทางฝั่งพระราม 9 เราสามารถใช้ซอยรัชดาภิเษก 30 หรือ 32 ออกที่ถนนรัชดาภิเษก แล้วตรงไปพระราม 9 ได้เลย โดยไม่ต้องไปกลับรถบนเส้นลาดพร้าวซึ่งเป็นจุดที่มีการจราจรที่ติดขัดทีเดียวค่ะ
ทางด่วน จากตัวโครงการจะอยู่ใกล้กับจุดขึ้นทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งถ้ารถไม่ติดมากใช้เวลาขับไปไม่ถึง 15 นาทีก็ถึงค่ะ โดยจากโครงการให้ออกซอยรัชดาภิเษก 30 เลี้ยวเข้าถนนลาดพร้าว มุ่งหน้าไปถนนพหลโยธิน จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายออกถนนพหลโยธินไปกลับรถอีกที เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหอวัง จากนั้นวิ่งออกมาที่ทางคู่ขนานวิภาวดี – รังสิต ตรงนั้นจะมีทางแยกฝั่งซ้าย เป็นด่านเก็บเงินลาดพร้าวขาออกขึ้นทางยกระดับค่ะ ใช้วิ่งออกไปทางบางนา – พระราม 9 ได้
อีกจุดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลก็คือทางพิเศษฉลองรัช หรือทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์ สามารถใช้วิ่งลงไปทางเอกมัย หรือเชื่อมต่อกับทางพิเศษเฉลิมมหานครออกไปทางพระราม 2, เชื่อมทางพิเศษกรุงเทพ – ชลบุรีสายใหม่ออกไปทางสุวรรณภูมิ หรือเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี ออกไปทางบางนาได้ค่ะ
:: สรุปแยก และ ถนนสำคัญรอบโครงการ ::
การเดินทางด้วยรถสาธารณะ สำหรับการเดินทางโดยรถสาธารณะนั้นถือว่าสะดวกสบายมากเช่นกัน บริเวณหน้าโครงการมีรถแท็กซี่ และวินมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านอยู่ตลอด ถ้าวันไหนไม่เร่งรีบมาก อยากประหยัดเงินก็สามารถขึ้นรถเมล์ได้ค่ะ ป้ายรถเมล์จะมีอยู่บริเวณหน้าปากซอยลาดพร้าว 23 เลย
ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ตัวโครงการนั้นยังตั้งอยู่บนใจกลางของศูนย์กลางการเชื่อมต่อระบบรางอีกด้วย ซึ่งตัวโครงการจะอยู่ใกล้กับ รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว ทางออกที่ 1 และ 4 จากโครงการเดินข้ามแยกรัชดา – ลาดพร้าวไป 450 เมตรก็ถึงเลยค่ะ ในอนาคตจะเป็นสถานี Interchange เชื่อมกับ สถานีรัชดาภิเษก ของ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วง ลาดพร้าว – พัฒนาการ จากตัวโครงการจะอยู่ห่างจากทางขึ้นสถานีเพียง 25 เมตรเท่านั้น ส่วน MRT พหลโยธิน ซึ่งห่างจาก สถานีลาดพร้าว เพียงสถานีเดียว ในอนาคตจะเชื่อมกับ สถานีห้าแยกลาดพร้าว ของ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วง หมอชิต – คูคต อีกด้วย
นี่คือภาพที่แสดงที่ตั้งของสถานีรัชดาภิเษก (รถไฟฟ้าสายสีเหลืองในอนาคต) จะเห็นว่าทางขึ้น – ลงตัวสถานีจะอยู่ห่างจากที่ตั้งโครงการเพียง 25 เมตรเท่านั้นค่ะ คาดว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองนี้จะแล้วเสร็จในปี 2564 ใกล้เคียงกับเวลาที่ตัวโครงการ The Origin รัชดา – ลาดพร้าว สร้างเสร็จพอดี ส่วนปัจจุบันรถไฟฟ้าที่ใช้ได้จะเป็น MRT สถานีลาดพร้าว ใช้ทางออกที่ 1 และ 4 จะใกล้ที่สุด
เรามาวัดให้ดูกันเลยจากใน Google Map ว่าเดินไปถึงทางเข้า – ออกตัวสถานีเพียง 450 เมตร หรือใช้เวลาเดินเพียง 6 นาทีถึงค่ะ
ไปทางฝั่งพระราม 9 ถัดไป 1 สถานีจะเป็น MRT สถานีรัชดาภิเษก ห่างออกไป 1 กม. ใครขยันเดินหน่อยก็เดินไม่นานนะคะ แค่ 13 นาทีเอง จะนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปก็เร็ว
ไปทางฝั่งพหลโยธินถัดไปเพียง 1 สถานีก็คือ MRT สถานีพหลโยธินที่จะเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ความอุดมสมบูรณ์ สภาพแวดล้อมบนถนนลาดพร้าวและบริเวณใกล้เคียงมีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูงทีเดียวค่ะ เพราะเป็นย่านของแหล่งที่พักอาศัยในแนวดิ่ง ซึ่งคนส่วนมากอาจจะไม่ได้ปรุงอาหารทานกันเองในทุกๆมื้อ ก็ต้องออกมาพึ่งร้านอาหารข้างทางกันนี่แหละ สะดวกและรวดเร็วที่สุดแล้ว ดังนั้นตลอดถนนเส้นนี้ก็จะมีทั้งร้านอาหารทั้งร้านทั่วไปและพวก Chain Restaurant, ร้านสะดวกซื้อก็เห็นมีกระจายอยู่, ร้านขายของชำ, ร้านขายยา, ร้านอินเตอร์เน็ต, คลีนิกเสริมความงาม, คลีนิกทันตกรรม ถ้าเข้าไปตามตรอกซอกซอยก็มีร้านอาหารอยู่ค่อนข้างเยอะค่ะ อย่างเส้นลาดพร้าววังหิน, ถนนโชคชัย 4 และถนนนาคนิวาสนี่ก็อุดมสมบูรณ์มากๆ
(ที่มาภาพ : https://www.brandbuffet.in.th, https://www.edtguide.com, https://www.chillpainai.com, https://www.theleparadisbangkok.com)
ส่วนแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมในย่านนี้ก็คงหนีไม่พ้น Central ลาดพร้าว กับแฟชั่นมอลล์อย่าง Union Mall อยู่บริเวณทางออกรถไฟฟ้า MRT สถานีพหลโยธินพอดีค่ะ ถ้าจะดูเป็น Hypermarket เพื่อซื้อของเข้าบ้านก็จะมี Big C ลาดพร้าว 2 และ Tesco Lotus อยู่ตรงข้ามกับ Central ลาดพร้าว บริเวณแยกรัชดา – ลาดพร้าวฝั่งตรงข้ามกับโครงการเองก็มีสวนลุมไนท์บาซ่าร์ ออกไปทางจตุจักรก็มีพวก JJ Mall, JJ Grean และตลาดนัดจตุจักรให้เลือกเดินในวันสบายๆ ออกไปทางเส้นเลียบด่วนรามอินทราจะมีห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง Central Festival Eastville, The Crystal และ CDC เลยขึ้นไปบนเส้นเกษตรนวมินทร์จะเป็นแหล่ง Community Mall และตลาดนัดขนาดใหญ่ จากตัวโครงการสามารถไปได้สะดวก อีกทั้งยังมี Gourmet Market มาเปิดให้บริการอยู่ใน MRT สถานีลาดพร้าวอีกด้วยนะ
(ที่มาภาพ : http://www.realist.co.th)
นี่ยังไม่รวม Mega Project ในอนาคตทั้ง Oasis Tower ระหว่างอาคารเล้าเป้งง้วน และ Sun Tower เป็น Mix – used Project สูง 31 ชั้น ประกอบด้วย ร้านค้า พื้นที่สำนักงาน และที่จอดรถกว่า 875 คัน, Bang Sue Grand Station เป็นสถานีเปลี่ยนถ่ายไปยังโซนต่างๆ ของกรุงเทพฯ มีรถไฟฟ้าผ่านถึง 4 สายด้วยกัน และ Mo Chit Complex เป็น Mix – used Complex อาคารแฝดสูง 36 ชั้น ประกอบด้วยร้านค้า สำนักงาน และ Sport Center ที่จะช่วยสร้าง Lifestyle ที่มีสีสัน และสร้างมูลค่าเพิ่มของทำเลห้าแยกลาดพร้าวให้กลายเป็น NCBD ที่มีศักยภาพ
นอกจากนี้ยังตัวโครงการยังอยู่ไม่ไกลจาก โรงพยาบาล, สถานศึกษาชื่อดังทั้ง รร.หอวัง, ม.ราชภัฏจันทรเกษม และ ม.เกษตรศาสตร์ ใกล้ธนาคารซึ่งสะดวกต่อการทำธุรกรรมทางการเงิน ใกล้แหล่งงานไม่ว่าจะเป็นตึกช้าง, ตึกชินวัตร หรือตรงย่านรัชดา – พระราม 9 โดยรวมแล้วคือมีสาธารณูปโภคคอยรองรับอย่างครบครันที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย หรือเรียกได้ว่าตัวโครงการตั้งอยู่บนจุดศูนย์กลางของความสะดวกสบายเลยค่ะ
:: สรุปสถานที่สำคัญรอบโครงการ ::
ห้างสรรพสินค้า
สถานศึกษา
ศูนย์การแพทย์
อื่นๆ
สถานที่ราชการและอาคารสำนักงาน
:::: การเดินทางสู่โครงการ ::::
วันนี้ทางทีมงาน Homenayoo มีภาพการเดินทางไปสู่ตัวโครงการโดยใช้รถยนต์ส่วนตัวมาฝากกันค่ะ โดยเราจะเริ่มการเดินทางจาก
ถนนประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบทางด่วนรามอินทรา) > ถนนลาดพร้าว > แยกรัชดา – ลาดพร้าว > ถนนลาดพร้าว > ซอยลาดพร้าว 23 > The Origin รัชดา – ลาดพร้าว
วันนี้เราจะเริ่มต้นการเดินทางจากถนนประดิษฐ์มนูธรรมหรือที่คุ้นหูกว่าก็คือเลียบด่วนรามอินทรานั่นเองค่ะ บริเวณที่เราอยู่ตอนนี้ก็คือช่วง CDC จากตรงนี้จะใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 20 นาทีถึงโครงการ
จากนั้นจะเห็นป้ายพระราม 9 ให้เราชิดขวาตรงไปตามทางนั้นเลยเพื่อขึ้นสะพานข้ามแยกลาดพร้าว 86
ชิดขวาขึ้นสะพานข้ามแยกค่ะ
เมื่อลงจากสะพานมาแล้วให้เรารีบชิดเลนขวาเพื่อกลับรถ
เมื่อกลับรถมาอีกฝั่งนึงแล้วให้ดูป้ายโชคชัย 4 – รัชดาภิเษกเอาไว้ ให้เราชิดซ้ายนะ
จากนั้นให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าถนนลาดพร้าว ถ้าออกทางขวาจะยูเทิร์นกลับไปอีกฝั่งค่ะ
เข้ามาที่ถนนลาดพร้าวจะเป็นถนนขนาด 6 เลนมีเกาะกลางแบ่งอย่างชัดเจน ทั้งฝั่งซ้ายและขวาของถนนจะเป็นที่ตั้งของอาคารพาณิชย์และคอนโดมิเนียมทั้ง Low rise และ High rise หลากหลายแบรนด์ ขับไปเรื่อยๆ เราจะวิ่งผ่านตลาดสะพาน 2 อยู่ฝั่งขวามือของเราค่ะ
วิ่งตรงไปเรื่อยๆ เราจะเจอแยกรัชดา – ลาดพร้าว ให้เรารอสัญญาณไฟแดงขับข้ามแยกไป
พอเราขับข้ามแยกมาแล้วจะสังเกต MRT ลาดพร้าวทางออกที่ 1 และ 4 อยู่ทั้ง 2 ฝั่งของถนน ส่วนทางฝั่งขวามือเราจะเห็นอาคาร Park & Ride
ก่อนถึงซอยลาดพร้าว 15 จะมีจุดกลับรถค่ะ ให้เราชิดขวาแล้วกลับรถเลย
พอกลับรถมาแล้วให้เราวิ่งข้ามแยกรัชดา – ลาดพร้าวอีกครั้ง
พอเราขับข้ามแยกมาแล้วให้เรารีบชิดเลนซ้ายเพื่อเลี้ยวเข้าซอยลาดพร้าว 23 ค่ะ
จากถนนลาดพร้าวตรงเข้าไปในซอยลาดพร้าว 23 ประมาณ 210 เมตร ก็จะถึงที่ตั้งโครงการของเราค่ะ
บรรยากาศภายในซอยลาดพร้าว 23 ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านพักอาศัยส่วนตัวและตึกแถวค่ะ มีความเงียบสงบกว่าที่ดินติดถนนใหญ่ แต่ก็มีคนอยู่อาศัยเยอะไม่เปลี่ยวนะ
จากปากซอยเราตรงเข้ามาประมาณ 210 เมตรก็จะถึงตัวโครงการ The Origin รัชดา – ลาดพร้าว แล้วค่ะ
:::: สภาพแวดล้อมรอบโครงการ ::::
บรรยากาศภายในซอยลาดพร้าว 23 ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านพักอาศัยส่วนบุคคล สูงไม่เกิน 3 ชั้น และเป็นตึกแถวค่ะ ภายในซอยเรียกว่าเงียบสงบและเป็นตัว มีผู้คนอยู่อาศัยกันพอสมควรทำให้ในซอยไม่เปลี่ยว สังเกตตำแหน่งที่ตั้งของตัวโครงการจะอยู่ตรงข้ามกับตำแหน่งของรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีรัชดาภิเษก ในอนาคตเมื่อตัวสถานีสร้างเสร็จแล้วจะมีทางเชื่อมข้ามถนนรัชดาภิเษกมาทางฝั่งตัวโครงการ โดยมีระยะเดินไปถึงทางเชื่อมเพียง 25 เมตรเท่านั้น ส่วน Sales Gallery ของโครงการ The Origin รัชดา – ลาดพร้าวจะอยู่ติดกับถนนรัชดาภิเษก ฝั่งตรงข้ามกับอาคาร Park & Ride พอดีค่ะ
ตอนนี้เรามาอยู่บริเวณที่ตั้งตัวโครงการกันแล้วนะคะ ทางเข้าโครงการจะอยู่ในซอยลาดพร้าว 23 ตำแหน่งตรงตึกแถวสูง 2 ชั้นจำนวน 3 ยูนิตในกรอบสีน้ำเงิน ปัจจุบันกำลังรอทุบเจาะเป็นทางเข้าไปสู่พื้นที่โครงการด้านในซึ่งเป็นผืนที่ดินเปล่า ทางฝั่งซ้ายของทางเข้าเป็นตึกแถวสูง 2 ชั้น จำนวน 1 ยูนิตเปิดเป็นร้านขายอาหารสุขภาพ ส่วนฝั่งขวาของทางเข้าเป็นตึกแถวสูง 2 ชั้น จำนวน 5 ยูนิต ซึ่งจะคงเอาไว้แบบนี้นะคะ
ร้านอาหารเพื่อสุขภาพทางฝั่งซ้ายมือของทางเข้าโครงการ
ถัดจากตึกแถวจะเป็นซอยลาดพร้าว 23 แยก 6 ภายในเป็นบ้านพักอาศัยส่วนตัวดั้งเดิมของชาวบ้านในละแวกนี้
ติดกันเป็นตึกแถว 3 ชั้นครึ่ง ส่วนใหญ่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
เรามองไปที่ฝั่งตรงข้ามของทางเข้าโครงการจะเป็นตำแหน่งของทางเชื่อมสถานีรัชดาภิเษกของรถไฟฟ้าสายสีเหลืองในอนาคตค่ะ ซึ่งเส้นทางนี้ถูกกั้นเอาไว้ ไม่สามารถเอาไว้ใช้เข้า – ออกถนนรัชดาภิเษกได้นะ
ถัดมาเป็นอาคารสูง 5 ชั้นเปิดเป็นคลินิกเสริมความงาม
ถัดเข้าไปภายในซอยลาดพร้าว 23 จะเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าสูง 8 ชั้น
ตรงเข้าไปด้านในซอยมีร้านสปา ทางเข้าจากซอยลาดพร้าว 23 จะเป็นทางเข้าด้านหลังร้านนะคะ
ส่วนหน้าร้านจะอยู่ที่ฝั่งรัชดาภิเษกค่ะ
มีธนาคารกรุงเทพสาขาใหญ่
และมีร้าน Classy Cafe ขายอาหารแนวๆ ของว่างรองท้องและเครื่องดื่ม
กลับมาที่บริเวณหน้าโครงการ ตึกแถวฝั่งทางขวามือของทางเข้าโครงการใช้เป็นที่อยู่อาศัย มียูนิตนึงเปิดร้านขายข้าวแกง
ติดกันมีผืนที่ดินเปล่าที่ยังไม่มีโครงการไหนมาซื้อเอาไปพัฒนาค่ะ
เราเดินตรงออกไปที่ถนนลาดพร้าวกันค่ะ ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของถนนซอยนั้นจะเป็นตึกแถวสูง 3 ชั้นครึ่ง
บางยูนิตเปิดเป็นร้านอาหารตามสั่ง จากตัวโครงการเดินมานิดเดียวก็มีที่ฝากท้องแล้ว
ร้านติดกันเป็นร้านขายขนมร้านเล็กๆ
ร้านนวดหรือร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็มีนะ
ออกมาถึงหน้าปากซอยลาดพร้าว 23 ทางฝั่งซ้ายมือเป็นร้านขายอาหารเจริญภัณฑ์ ขายอาหารตามสั่ง มีทั้ง ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่, ผัดซีอิ๊ว, สุกี้ยากี้, ผัดพริก, ผัดกระเพรา, ต้มยำ หรือราดหน้า ทำได้หมด เดี๋ยวเราจะเดินมุ่งหน้าไปทางฝั่งเลียบด่วนรามอินทราค่ะ
ติดกับถนนลาดพร้าวเดินถัดไปนิดเดียวก็มีร้านอาหารให้เลือกทานได้อีก 2 ร้าน
มีร้านตัดผมและเสริมสวย
ถัดจากช่วงตึกแถวไปจะมีคอนโดมิเนียม Haus 23 อยู่ 1 โครงการ
ติดกับคอนโดเป็นปั๊มน้ำมันปตท. ภายในมีทั้ง 7 – Eleven และ Cafe Amazon
เดินเลยปั๊มน้ำมันไปก็มีร้านกาแฟให้มานั่งจิบเครื่องดื่มนั่งทำงานอ่านหนังสือได้อีก 1 ร้าน
กลับมาที่บริเวณหน้าปากซอยลาดพร้าว 23 ทางฝั่งขวามือจะเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ คราวนี้เราจะเดินมุ่งหน้าไปทางพหลโยธินกันบ้าง
จากหน้าปากซอยเราเดินไปนิดเดียวก็จะถึงสะพานลอยข้ามแยกรัชดา – ลาดพร้าวแล้วค่ะ
ซึ่งจากสะพานลอยเราสามารถเดินข้ามไปยังสวนลุมไนท์บาซาร์ รัชดาภิเษก และ MRT ลาดพร้าว ทางออก 1 ที่อยู่บนถนนลาดพร้าวซอยฝั่งเลขคู่ได้ค่ะ ระยะถึงทางออกเพียง 450 เมตรเท่านั้น
และเราก็สามารถเดินข้ามไปยังอาคาร Park & Ride และ MRT ลาดพร้าว ทางออก 4 ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้เช่นกัน จะเป็นถนนลาดพร้าวซอยฝั่งเลขคี่ ระยะถึงทางออกเพียง 450 เมตรเท่ากันค่ะ
จากหน้าโครงการเดินข้ามสะพานลอยมาลงที่อาคาร Park & Ride หรือ MRT ลาดพร้าวทางออก 4
เดินลงเข้ามาภายในสถานี ตอนนี้มี Gourmet Market มาเปิดให้บริการแล้วด้วย สะดวกมากสำหรับคนที่อยู่อาศัยในย่านนี้
เดินชมทำเลกันเรียบร้อยแล้ว เราเดินเข้าไปดูภายใน Sales Gallery กันต่อค่ะ Sales Gallery ของโครงการจะตั้งอยู่ติดกับถนนรัชดาภิเษกใกล้ยแยกรัชดา – ลาดพร้าว ตำแหน่งฝั่งตรงข้ามกับอาคาร Park & Ride นั่นเอง ถ้าใครไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหน ให้กดที่พิกัดนี้ได้เลย 13.806325, 100.575293
Sales Gallery ของที่นี่จะใช้ร่วมกันระหว่างโครงการ The Origin รัชดา – ลาดพร้าว และ The Origin ลาดพร้าว 15 ภายในจะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายคอยต้อนรับและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวโครงการค่ะ ลูกค้าทุกท่านสามารถเข้าไปสอบถามขอชมห้องตัวอย่างได้เลย
:::: ตัวโครงการ ::::
โครงการ The Origin รัชดา – ลาดพร้าว เป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น มี 1 อาคาร บนพื้นที่โครงการขนาด 1 – 3 – 28.25 ไร่ เป็นส่วนตัวด้วยห้องชุดพักอาศัยจำนวนเพียง 208 ยูนิต + 1 Shop มีห้องแบบ 1 Bedroom, 1 Bedroom Smart Walk – in Closet, 1 Bedroom Plus และ 2 Bedroom ขนาดเริ่มต้นที่ 24.50 – 54.50 ตร.ม. ออกแบบมาอย่างหรูหราในสไตล์ Classic Heritage เน้นตัวอาคารเป็นสีเทาเน้นดีเทลที่ขอบบัวและสี Copper
เรามาดูโมเดลของโครงการเพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งหมดของอาคารในทุกๆ ด้านกันค่ะ
เริ่มจากโมเดลฝั่งทิศตะวันตก หรือฝั่งทางเข้าโครงการจากซอยลาดพร้าว 23 จะเห็นว่ามีตึกแถวอยู่ทั้ง 2 ฝั่งของทางเข้าโครงการ
โมเดลฝั่งทิศเหนืออยู่ติดกับซอยลาดพร้าว 23 แยก 6 Facilities ของโครงการจะอยู่ที่ฝั่งนี้ทั้งหมดค่ะ โครงการจะถูกล้อมรั้วสูงและปลูกต้นไม้เอาไว้ริมรั้วเพื่อสร้างความร่มรื่นและความเป็นส่วนตัวของโครงการ
โมเดลฝั่งทิศตะวันออก เป็นฝั่งด้านหลังของโครงการ อยู่ติดกับซอยลาดพร้าว 23 แยก 2
และโมเดลฝั่งทิศใต้ อยู่ติดกับถนนซอยซึ่งเป็นซอยตัน
มาดูในส่วนของผังโครงการกันค่ะ ชั้น G ทางเข้า – ออกหลักของโครงการจะอยู่ในซอยลาดพร้าว 23 ผ่านระบบรักษาความปลอดภัย ทั้ง CCTV และระบบ Access Card Control พอเข้ามาภายในตัวโครงการจะเป็นส่วนของที่จอดรถใต้อาคาร และมีที่จอดรถแบบ Automatic Parking ให้ด้วย รวมแล้วสามารถจอดได้ถึง 61% (รวมจอดซ้อนคัน) นอกจากนี้ จากด้านหน้าโครงการก็จะมีทางคนเดินเข้าแยกให้อย่างเป็นสัดส่วน ซึ่งสามารถใช้ตรงเข้าสู่ภายในอาคารได้เลย
เข้าสู่ตัวอาคาร ส่วนแรกจะเป็น Visitor Lobby Hall ออกแบบให้ฝ้าเพดานสูง Double Space โดยเราจะต้องใช้ Key Card ในการเปิดประตูทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยค่ะ จาก Lobby จะเชื่อมสู่ 24 hr. Co – working Space ซึ่งอยู่ติดกับสวนหย่อม, Shop, Smart Locker, โถงลิฟท์ และ Mail Room โดยจาก Visitor Lobby Hall จะมีบันไดทางเชื่อม สามารถใช้เดินขึ้นไปยัง Facilities ที่ชั้น 2 และชั้น 3 ได้
มาดูที่โมเดลกันบ้างค่ะ จากทางเข้าโครงการฝั่งซอยลาดพร้าว 23 จะต้องผ่านระบบรักษาความปลอดภัย ใช้ Key Card ในการเปิด Auto Gate เพื่อขับรถเข้าไปด้านในโครงการ โดยทางฝั่งซ้ายมือจะมีที่จอดรถสำหรับ Visitor ให้ด้วย ส่วนทางเดินคนเข้าจะถูกจัดแยกอยู่ทางฝั่งขวา ขั้นด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา สร้างความร่มรื่นและบรรยากาศเวลาเดินเข้า – ออกจากโครงการ
ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณทางเข้าโครงการ ตกแต่งสไตล์ Classic Heritage ดูหรูด้วยวัสดุคล้ายหินสีดำ ตกแต่งด้วยแถบสี Copper
ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณทางเข้าลานจอดรถและทางเข้า Visitor Lobby Hall มองจากภายนอกเห็นพื้นที่ภายในที่ถูกออกแบบให้เป็น Double Volume Space ดูโอ่อ่า หรูหรา ตัวอาคารหลักทาสีเทาเข้มและเทาอ่อน ตกแต่งด้วยเส้นสี Copper ดูหรู และดูอบอุ่นมากขึ้นด้วยผนังไม้เทียม
ภาพจำลองบรรยากาศภายใน Visitor Lobby Hall ที่ตกแต่งมาในสไตล์ Classic Heritage ล้อมาจากการตกแต่งภายนอก ภายในเน้นผนังทาสีเทา ปูพื้นด้วยหินขัดสีเทา ใช้ดีเทลสี Copper เช่นกัน และใช้ดีเทลซุ้มโค้งและกรอบของช่องแสงที่ถอดรูปแบบและจังหวะมาจากชานชลารถไฟของทางตะวันตก จัดชุดโซฟาสำหรับนั่งพักคอยและรองรับแขกได้ สังเกตที่ฝั่งซ้ายมือจะเห็นบันไดสำหรับใช้เชื่อมต่อขึ้นไปยัง Facilities ที่ชั้น 2 และ 3 ค่ะ
ภาพจำลองบรรยากาศภายใน 24 hr. Co – working Space เป็นพื้นที่ที่ต่อเนื่องเข้ามาจาก Lobby ภายในจะตกแต่งให้ดูสว่างมากขึ้นเพื่อให้เหมาะสำหรับการนั่งอ่านหนังสือหรือนั่งทำงาน ภายนอกจัดสวนล้อมรอบพื้นที่ 24 hr. Co – working Space เอาไว้ เพื่อให้ได้สีเขียวจากต้นไม้ ดูเย็นและสบายตามากขึ้น
ภาพจากโมเดลในส่วนของสวนหย่อมภายนอกค่ะ จาก 24 hr. Co – working Space สามารถเดินออกมาที่สวนนี้เพื่อนั่งพักผ่อนได้
ชั้นที่ 2 ชั้นนี้จะเป็นส่วนของ Facilities และห้องพักอาศัยค่ะ เราสามารถใช้ลิฟท์หรือเดินขึ้นบันไดจาก Lobby เพื่อขึ้นมาใช้งานส่วน Facilities ได้ ส่วนห้องพักอาศัยในชั้นนี้จะมีด้วยกันทั้งหมด 26 ห้อง/ชั้น อาคารถูกวางผังเป็นรูปตัว I จัดวางห้องพักแบบ Double Corridor ซึ่งประตูห้องส่วนใหญ่จะถูกวางอยู่เหลื่อมๆ กัน ไม่ให้ชนกับประตูฝั่งตรงข้ามเพื่อความเป็นส่วนของลูกบ้านเวลาเข้า – ออกห้อง
Facilities ที่ชั้น 2 ประกอบด้วย Fitness, Lounge, Swimming Pool ระบบเกลือขนาดใหญ่ และห้องน้ำแยกชาย – หญิง สังเกตว่าที่ Lounge จะมีบันไดสามารถใช้เดินเชื่อมไปบน Facilities ที่ชั้น 3 ได้ และจากส่วน Swimming Pool จะมีบันไดทางเชื่อมไปยัง Rooftop Garden ที่อยู่บนดาดฟ้าของอาคาร Automatic Parking ได้
จาก Model เราจะเห็นบันไดทางเชื่อมจาก Swimming Pool ไปยัง Rooftop Garden ได้ นอกจากนี้จากสวนด้านข้างอาคารที่ชั้น 1 ก็จะมีบันไดทางเชื่อมขึ้นไปยัง Rooftop Garden ได้เช่นกันค่ะ
ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Swimming Pool ตกแต่งผนังสระด้วยวัสดุลายหินอ่อนดูหรู จัด Pool Bed เอาไว้ให้ด้านข้างสามารถใช้นอนพักผ่อนชมวิวได้ และใช้ Vertical Garden ทำเป็นกำแพงขึ้นมาสร้างความเป็นส่วนตัว สังเกตทางฝั่งขวามือจะมีบันไดทางเชื่อมเพื่อขึ้นไปยังส่วน Rooftop Garden ค่ะ
ภาพจำลองบรรยากาศภายใน Fitness มีอุปกรณ์สำหรับออกกำลังกายทั้งแบบ Cardio และ Weight Training ให้แบบครบครัน พร้อมจัดม้านั่งสำหรับนั่งพักให้
ภาพจำลองบรรยากาศภายใน Lounge ออกแบบตกแต่งมาให้อย่างหรูหรา มีดีเทลที่ฝ้าเพดานและหน้าต่างเป็นทรงซุ้มโค้งที่ถอดแบบมาจากชานชลารถไฟ ให้บรรยากาศแบบคลาสสิคที่ไม่ตกยุคสมัย เป็นส่วนที่จะได้วิวจากสระว่ายน้ำ สังเกตว่าจาก Lounge จะมีบันไดทางเชื่อมขึ้นไปยัง Facilities ที่ชั้น 3 ได้ค่ะ
ชั้นที่ 3 ชั้นนี้จะเป็นส่วนของ Facilities และห้องพักอาศัยเช่นเดียวกันกับชั้น 2 เราสามารถใช้ลิฟท์หรือเดินขึ้นบันไดจาก Lounge เพื่อขึ้นมาใช้งานส่วน Facilities ได้ ส่วนห้องพักอาศัยในชั้นนี้จะมีด้วยกันทั้งหมด 29 ห้อง/ชั้นค่ะ Facilities ที่ชั้น 3 ประกอบด้วย Meeting Room, Multi – function Studio, Private Room และ Library นอกจากนี้ทางโครงการยังจะจัด Office Supply เป็น Printer และเครื่องสำหรับถ่ายเอกสารเอาไว้ให้บริการในส่วนนี้ด้วย
ภาพจำลองบรรยกาศภายใน Library เป็นมุมสงบสำหรับนั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ ซึ่งพื้นที่ส่วนนี้จะ Flow เชื่อมต่อกับ Lounge ที่ชั้น 2 ค่ะ
ภาพจำลองบรรยากาศส่วน Private Room เชื่อมต่อกับ Meeting Room สำหรับใช้นั่งประชุมคุยงานกันแบบไม่เป็นส่วนตัวมาก หรือจริงๆ แล้วเราสามารถใช้เป็น Co – working Space ก็ได้เหมือนกัน
ภาพจำลองบรรยกาศบริเวณ Rooftop Garden เป็นสวนพักผ่อนบนชั้นดาดฟ้าของอาคารจอดรถ Automatic Parking บรรยากาศดูร่มรื่นด้วยสีเขียวของร่มไม้ มีเก้าอี้สำหรับนั่งพักผ่อนจัดให้เป็นจุดๆ ห่างๆ กัน
ชั้นที่ 4 – 7 จะเป็น Typical Floor Plan ค่ะ ตั้งแต่ชั้นนี้เป็นต้นไปจะเป็นส่วนของห้องพักอาศัยทั้งหมดแล้ว โดยจะมีห้องพักอาศัยทั้งหมด 31 ห้อง/ชั้น ห้องที่มุมอาคารทั้งหมดจะเป็นห้อง 1 Bedroom Plus มี 5 ห้อง/ชั้น ส่วนห้องด้านในจะเป็นห้อง 1 Bedroom ไซส์ S – L ค่ะ
ชั้นที่ 8 มีการวางแปลนไม่ต่างจากชั้นที่แล้วค่ะ แต่จะมีห้องบางห้องถูกยุบรวมกลายเป็นห้อง 2 Bedroom มีด้วยกันแค่ 2 ห้องเท่านั้น ตำแหน่งอยู่ที่มุมล่างฝั่งซ้ายของอาคาร เพราะฉะนั้นที่ชั้นนี้จะเหลือห้องพักอาศัยทั้งหมด 29 ห้อง/ชั้น รวมทั้งอาคารมีจำนวนยูนิตพักอาศัยทั้งหมด 208 ห้องด้วยกัน คิดเป็นจำนวนห้องพักอาศัยต่อลิฟท์อยู่ที่ 1 : 104 ถือว่าเป็นค่ามาตรฐานที่ดี และด้วยความที่โครงการเป็น Low Rise Condominium อยู่แล้วจึงรอลิฟท์ไม่นานค่ะ
:::: แบบห้องของโครงการ ::::
ห้องของโครงการจะมีอยู่ทั้งหมด 4 แบบหลักๆ ด้วยกันได้แก่
ทางโครงการขายห้องแบบ Fully Fitted ได้เฟอร์นิเจอร์ Built – in มาครบ พร้อมเครื่องปรับอากาศ, ระบบ Home Automation และ Digital Door Lock เรามาดูผังพื้นของห้องแต่ละ Type กันค่ะ
Type B1 : 1 Bedroom (S) ขนาด 24.5 ตร.ม.
Type B2 : 1 Bedroom (S) ขนาด 26.0 ตร.ม.
Type B3 : 1 Bedroom (M) ขนาด 27.5 – 28.0 ตร.ม.
Type B4 : 1 Bedroom Smart Walk – in Closet (M) ขนาด 26.5 – 27.5 ตร.ม.
Type B5 : 1 Bedroom (L) ขนาด 33.0 ตร.ม.
Type BP1 : 1 Bedroom Plus ขนาด 34.0 – 36.0 ตร.ม.
Type BP2 : 1 Bedroom Plus ขนาด 32.0 ตร.ม.
Type C1 : 2 Bedroom ขนาด 54.5 ตร.ม.
Type C2 : 2 Bedroom ขนาด 53.5 ตร.ม.
Type C3 : 2 Bedroom ขนาด 50.0 – 50.5 ตร.ม.
:::: ห้องตัวอย่าง ::::
สำหรับห้องตัวอย่างที่เราพามาชมในวันนี้ มี 2 แบบ นั่นก็คือ แบบห้อง Type B4 : 1 Bedroom Smart Walk – in Closet ขนาด 27.5 ตร.ม. และ แบบห้อง Type Bp1 : 1 Bedroom Plus ขนาด 34.0 ตร.ม. ตามลำดับ เราไปดูรายละเอียดแบบเจาะลึกของตัวห้องกันเลยค่า
::: Type B4 : 1 Bedroom ขนาด 27.00 ตร.ม. :::
ห้อง Type B4 เป็นห้อง 1 Bedroom Smart Walk – in Closet ขนาด 27.5 ตร.ม. เป็นขนาดห้องที่เหมาะสำหรับนักช้อปตัวยงหรือ Fashionista ชอบแต่งตัวและมีข้าวของเสื้อผ้าที่ค่อนข้างเยอะโดยเฉพาะ เพราะจุดเด่นของห้องนี้ก็คือ Smart Closet หรือ Walk – in Closet ที่ยาวถึง 3 เมตรด้วยกัน ซึ่งจะเชื่อมต่อกับห้องน้ำ และเชื่อมต่อกับระเบียงพอดี เรื่องการแต่งตัว – อาบน้ำ – ซักรีดผ้า จบอยู่ในโซนเดียว ส่วนพื้นที่ส่วนอื่นของห้องถูกออกแบบมาคล้ายกับห้อง Studio ที่กั้นส่วนครัวให้ออกจาก ส่วนนั่งเล่น ส่วนรับประทานอาหาร และส่วนนอนพักผ่อนค่ะ
เราเข้าไปดูภายในห้องด้วยกันเลย เริ่มจากประตูทางเข้าห้อง จะได้เป็นประตูบานทึบติด Digital Door Lock ของ Liliwise แบบ 4 ระบบคือ Password, Key Card, Bluetooth และ กุญแจ อีกทั้งยังรองรับการใช้งานแบบ 1 Pass Password หรือ Visitor Pin สำหรับการใช้งานเพียง 1 วันเท่านั้น ในวันที่แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดห้อง หรือมีช่างงานระบบเข้ามา ซึ่งลูกบ้านสามารถเซ็ทรหัสผ่านได้ผ่านทางมือถือกี่ครั้งก็ได้ค่ะ
เมื่อเข้ามาในห้องจะเจอส่วนครัวก่อนเลย ซึ่งเราจะได้เป็นครัวแบบปิด กั้นส่วนจากห้องนั่งเล่นและห้องนอน ด้วยประตูบานเลื่อนอลูมิเนียมติดกระจก ข้อดีก็คือ กลิ่นจากการปรุงอาหารจะไม่ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องค่ะ
ซึ่งพื้นภายในห้องครัวปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ขนาด 60 x 60 ซม. ข้อดีก็คือสามารถเช็ดล้างคราบอาหารหรือคราบน้ำมันออกได้ง่าย ส่วนพื้นภายในห้องนั่งเล่นและห้องนอนปูด้วยลามิเนตลายไม้หนา 8 มม.
ฝ้าเพดานภายในห้องจะเป็นฝ้าฉาบเรียบทาสี ติดดวงโคมดาวน์ไลท์ให้ทั้งห้อง ฝ้าภายในห้องสูง 2.5 เมตร ส่วนพื้นที่ครัวและห้องน้ำจะดรอปลงมาเหลือ 2.3 เมตร ส่วนผนังภายในห้องจะเป็นผนังฉาบเรียบทาสีทั้งหมดนะคะ
มาดูรายละเอียดภายในห้องครัวกันค่ะ พอเข้ามาภายในห้องมองไปทางฝั่งซ้ายมือ ทางโครงการทำชั้น Built – in ขนาดใหญ่มาให้เป็นชั้นวางรองเท้าและชั้นเก็บของ พร้อมเว้นพื้นที่สำหรับวางตู้เย็นขนาดมาตรฐานได้ 1 ตู้ หน้าบานของ Built – in ใช้กระจกสีชาดำ ส่วนภายในปิดผิวด้วยลามิเนต มีอยู่บานนึงใช้หน้าบานเป็นกระจกเงา เอาไว้สำหรับเช็คสภาพหน้าผมและเสื้อผ้าก่อนเดินออกจากห้องได้
ส่วนมือจับบานเปิดใช้โลหะทำเป็นครีบขึ้นมาแบบนี้ค่ะ ทำให้ดีไซน์ดูเรียบสะอาดตา
ช่องเก็บของด้านบนช่องหนึ่งใช้เป็นตู้ซ่อนตู้ไฟฟ้าของห้องด้วยค่ะ ดูเรียบร้อยดี
ส่วนทางฝั่งขวามือทางโครงการทำเคาน์เตอร์ครัวมาให้ ขนาดกำลังพอดีกับพื้นที่
เคาน์เตอร์ครัวใช้ Top หินสังเคราะห์สีดำ ติดตั้งเตา Induction พร้อมเครื่องดูดควัน และอ่างล้างจานมาให้ ส่วนด้านบนเคาน์เตอร์มีตู้ลอยเก็บของให้เพิ่มเติมแบบนี้ค่ะ หน้าบานใช้เป็นกระจกสีชาดำเหมือนกัน
เตาปรุงอาหารจาก Hafele เป็นเตาขนาด 2 หัว
และอ่างล้างจานพร้อมก๊อกน้ำจาก Hafele เช่นกัน
ที่ใต้เคาน์เตอร์ก็มีช่องสำหรับวางไมโครเวฟ, ช่องเก็บช้อนส้อม และช่องใต้อ่างล้างจานสำหรับใช้วางถังขยะ และเก็บอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มเติมได้
ตัวบานเปิดใต้เคาน์เตอร์จะปิดผิวด้วยลามิเนตนะคะ ใช้ดีเทลปาด 45 องศาที่มุมบาน ทำให้สามารถจับเปิดได้ง่ายโดยไม่ต้องมีมือจับ
จากห้องครัวจะเชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่นและห้องนอนโดนกั้นส่วนด้วยประตูบานเลื่อนอลูมิเนียมติดกระจกแบบ 4 ตอน เวลาเลื่อนเปิดจนสุดแล้วจะได้ช่องประตูขนาดใหญ่
ส่วนมือจับประตูใช้แบบเซาะร่องมาตรฐานค่ะ
เข้ามาด้านในจะเป็นส่วนนั่งเล่น, ส่วนรับประทานอาหาร และส่วนนอนพักผ่อน รวมอยู่ในห้องเดียว เป็นรูปแบบเดียวกับห้อง Studio ค่ะ
ทางโครงการจัดห้องตัวอย่างให้เป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ สามารถวางโซฟาขนาด 4 ที่นั่งได้แบบนี้ค่ะ เราสามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาดเล็กๆ แบบยาวเรียวแทนตำแหน่งของโต๊ะกาแฟ ใช้โซฟาเป็นเก้าอี้นั่งสำหรับรับประทานอาหารไปในตัวด้วยเลย หรือจะวางโซฟา Love Seat ขนาด 2 ที่นั่ง แล้ววางโต๊ะรับประทานอาหารและเก้าอี้เอาไว้ด้านข้างโซฟาก็ได้ค่ะ
ฝั่งตรงข้ามกับโซฟาเป็นชั้นวางทีวี Built – in ที่ทางโครงการให้มากับตัวห้องด้วย
จะมีหน้าบานอยู่ 1 บานสามารถเลื่อนปิดในจุดที่ใช้เก็บของเยอะๆ ได้ แบบว่าใช้ซ่อนความไม่เรียบร้อยนิดนึง
ซึ่งระยะดูทีวีภายในห้องนี้จะอยู่ที่ 1.8 เมตรค่ะ เป็นระยะที่เหมาะสำหรับดูทีวีจอขนาด 42 – 47 นิ้ว จะกำลังพอดีไม่ปวดตา
ถัดจากส่วนนั่งเล่นและรับประทานอาหารจะเป็นส่วนนอนพักผ่อนค่ะ
สิ่งที่ทางโครงการให้มากับตัวห้องด้วยจะเป็นฐานเตียงนอนขนาด 5 ฟุต พร้อมโต๊ะข้าง Built – in 1 ตัว เป็นขนาดที่กำลังลงตัวกับไซส์ห้องนี้
ที่ใต้ฐานเตียงก็มีลิ้นชักสำหรับให้เราเก็บของหรือพวกชุดผ้าปูที่นอนได้
โต๊ะข้างเตียงเป็นจุดที่ช่วยให้สะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้วางโคมไฟได้ และมีลิ้นชักสำหรับเก็บของกระจุกกระจิกได้ด้วย
ซึ่งโต๊ะข้างเตียงจะมีดีเทลที่น่าสนใจอยู่ 1 จุดก็คือเป็นจุดชาร์จไฟแบบไร้สายฝังมาให้บนโต๊ะข้างเลย ถ้าเราอยากจะชาร์จมือถือก็เพียงนำมือถือมาวางไว้บนแท่นชาร์จนี้ได้เลยค่ะ สังเกตอีกจุดหนึ่งตรงปลั๊กไฟข้างหัวเตียง ทางโครงการจะให้ USB Outlet มาด้วยนะ
ส่วนช่องแสงภายในห้องก็มีขนาดใหญ่ค่ะ ได้เป็นหน้าต่างกระจกบานขนาดเท่าผนัง พร้อมหน้าต่างบานกระทุ้ง 1 บานสำหรับเปิดระบายอากาศได้
พื้นที่ปลายเตียงยังพอเหลือเป็นทางเดินให้สามารถเดินไปเปิด – ปิดหน้าต่างได้อยู่
ภาพจากฝั่งริมหน้าต่างมองย้อนกลับเข้าไปด้านในห้อง
จากบริเวณส่วนนอนพักผ่อนจะเชื่อมต่อกับ Smart Walk – in Closet ค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วทางโครงการจะติดตั้งประตูบานเลื่อนกั้นส่วนมาให้ด้วย
Walk – in Closet หรือ Smart Closet ที่มีความยาวถึง 3 เมตร ถือเป็นจุดขายของห้องนี้เลย เป็นส่วนที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบแต่งตัวหรือมีของค่อนข้างเยอะ ทางโครงการจะทำตู้ Built – in แบบไม่มีหน้าบานมาให้แบบนี้เลยค่ะ แบ่งส่วนเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง, ช่องสำหรับเก็บของ และช่องสำหรับเก็บเสื้อผ้า ตัวตู้ทั้งหมดเป็นโครงไม้ Particle Board ปิดผิวด้วยลามิเนต
และในส่วนของโต๊ะเครื่องแป้ง ทางโครงการจะติดกระจกเงา Beauty Mirror มาให้ด้วยนะคะ
จาก Smart Walk – in Closet จะเชื่อมต่อกับห้องน้ำค่ะ โดยความกว้างของทางเดินก็ยังมากพอ สามารถยืนแต่งตัวและเดินไป – มาได้สะดวก
ภายในห้องน้ำถูกออกแบบอย่างเป็นสัดส่วน แบ่งแยกโซนเปียก – โซนแห้งอย่างเรียบร้อยชัดเจน ที่พื้นปูด้วยกระเบื้องขนาด 30 x 30 ซม. สีเทา ที่ผนังกรุด้วยกระเบื้องขนาดเท่ากันแต่เป็นสีขาวค่ะ ส่วนสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำทั้งหมดจะเป็นของ Hafele
ระหว่างพื้นภายนอกและพื้นห้องน้ำจะทำธรณีสูงขึ้นมาเพื่อกันน้ำไหลย้อนให้
เรามาดูรายละเอียดของสุขภัณฑ์กันต่อ เริ่มจากที่อ่างล้างมือเป็นอ่างฝังบนเคาน์เตอร์สำเร็จรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดกำลังดี มีพื้นที่สำหรับวางของรอบขอบอ่างได้ ติดตั้งมาพร้อมกับก๊อกน้ำล้างมือ
ที่ใต้เคาน์เตอร์ก็สามารถใช้เป็นที่เก็บของได้นะ
ด้านข้างอ่างติดตั้งปลั๊กไฟและ USB Outlet มาให้ สำหรับใช้กับที่โกนหนวดไฟฟ้า, ไดร์เป่าผม, มือถือ หรือ Tablet สำหรับคนที่ติดเกมส์หรืออ่าน E – book เวลานั่งในห้องน้ำนานๆ
ถัดมาเป็นโถสุขภัณฑ์ระบบ Dual Flush ช่วยประหยัดน้ำ ติดตั้งมาพร้อมกับอุปกรณ์ประกอบการใช้งาน
ด้านในสุดเป็นโซน Shower ทางโครงการติดตั้งฉากกั้นอาบน้ำเป็นกระจก Tempered บานเปลือยมาให้เรียบร้อย
ที่บานประตูติดมือจับขนาดใหญ่ สามารถใช้แขวนผ้าเช็ดตัวได้ในตัวค่ะ
ส่วนพื้นที่ยืนอาบน้ำก็มีขนาดกำลังพอเหมาะ ไม่แคบจนเกินไป
ภายในติดตั้งชุด Hand Shower ให้ที่ผนัง พร้อมเจาะผนังเข้าไปทำชั้นวางสบู่ให้
เราเทียบขนาดหัวฝักบัวให้ดูกับมือค่ะ มีขนาดใหญ่กำลังดี สามารถใช้อาบน้ำได้สะดวก
ออกมาจากห้องน้ำ เราจะไปดูในส่วนของระเบียงห้องกันต่อค่ะ
พื้นที่ระเบียงห้องกั้นส่วนจาก Smart Walk – in Closet ด้วยประตูบานเลื่อนอลูมิเนียมติดกระจกแบบ 3 ตอน
พื้นระเบียงปูด้วยกระเบื้องสีเทาขนาด 30 x 30 ซม. ติดราวกันตกเป็นระแนงเหล็กทาสีเทาเข้ม เป็นจุดที่ใช้วางเครื่องซักผ้าและตากผ้าได้ค่ะ
และเป็นจุดที่ใช้แขวน Compressor ด้วย โดยจะมีระแนงเหล็กแนวตั้งช่วงพรางรูปด้านอาคารเอาไว้ให้ดูเรียบร้อย
ส่วนสวิตช์และปลั๊กไฟภายในห้องจะใช้ของ Panasonic ทั้งหมด
และติดตั้งแอร์ของ Daikin Inverter มาให้ 1 ตัวที่บริเวณส่วนนั่งเล่นค่ะ
::: Type Bp1 : 1 Bedroom Plus ขนาด 34.0 ตร.ม. :::
ห้อง Type Bp1 เป็นห้องแบบ 1 Bedroom Plus ขนาด 34.0 ตร.ม. เป็นห้องสำหรับคนที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นเพื่อ Lifestyle ส่วนตัว เพราะนอกจากจะมีฟังก์ชั่นหลักๆ ที่ถูกออกแบบมาอย่างเป็นสัดส่วนมากขึ้น ทั้งห้องนั่งเล่น, ส่วนรับประทานอาหาร, ห้องครัว, ห้องน้ำ และห้องนอน แล้วก็ยังมีห้องอเนกประสงค์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ห้อง เชื่อมต่อกับส่วนระเบียงด้วยค่ะ
เราเข้าไปดูภายในห้องด้วยกันเลย เริ่มจากประตูทางเข้าห้อง จะได้เป็นประตูบานทึบติด Digital Door Lock ของ Liliwise แบบ 4 ระบบคือ Password, Key Card, Bluetooth และ กุญแจ อีกทั้งยังรองรับการใช้งานแบบ 1 Pass Password หรือ Visitor Pin สำหรับการใช้งานเพียง 1 วันเท่านั้น
พอเข้ามาภายในห้องแล้วเราจะเจอส่วน Common Area ก่อนซึ่งประกอบด้วย ส่วนนั่งเล่น และส่วนรับประทานอาหาร จาก Common Area จะเชื่อมต่อไปยังฟังก์ชั่นอื่นๆ ทั้งห้องครัว, ห้องน้ำ, ห้องอเนกประสงค์ และห้องนอนค่ะ พื้นภายในห้องทั้งหมดปูด้วยลามิเนตลายไม้หนา 8 มม. ยกเว้นห้องครัวที่จะปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ขนาด 60 x 60 ซม. ผนังภายในห้องจะเป็นผนังฉาบเรียบทาสี ส่วนฝ้าเพดานเป็นฝ้าฉาบเรียบทาสี ติดดวงโคมดาวน์ไลท์ให้ทั้งห้อง ซึ่งฝ้าจะสูง 2.5 เมตรเท่าเดิมค่ะ
บริเวณด้านหน้าห้องทางฝั่งซ้ายมือ ทางโครงการทำชั้น Built – in มาให้เป็นชั้นวางรองเท้าและชั้นเก็บของ หน้าบานของ Built – in ใช้กระจกสีชาดำ ส่วนช่องเก็บของด้านบนช่องหนึ่งใช้เป็นตู้ซ่อนตู้ไฟฟ้าของห้องด้วยค่ะ
ภายในมีดีเทลตะขอเกี่ยวสำหรับแขวนพวกกุญแจได้
ก่อนที่เราจะดูพื้นที่ใน Common Area เราขอเข้าไปดูพื้นที่ในห้องครัวกันก่อนค่ะ ซึ่งครัวที่ได้ก็จะเป็นครัวปิดเหมือนกัน กั้นส่วนจาก Common Area ด้วยประตูบานเลื่อนอลูมิเนียมติดกระจกใส พื้นภายในปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ตามที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น
พื้นที่ภายในห้องครัวของห้องนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าห้องที่แล้วนะคะ ทางโครงการทำเคาน์เตอร์แบบ L Shape มาให้ แต่ก็ยังเว้นที่ว่างด้านข้างมาให้สำหรับวางตู้เย็นขนาดมาตรฐานด้วย
ด้านบนเคาน์เตอร์มีตู้ลอยเก็บของให้เพิ่มเติม หน้าบานใช้เป็นกระจกสีชาดำเหมือนกัน ส่วนที่ใต้เคาน์เตอร์ก็มีช่องสำหรับวางขวดเครื่องปรุง, ช่องวางเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า และช่องใต้อ่างล้างจานสำหรับใช้วางถังขยะ และเก็บอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มเติมได้ ตัวบานเปิดใต้เคาน์เตอร์จะปิดผิวด้วยลามิเนตเหมือนเดิม
เคาน์เตอร์ครัวใช้ Top หินสังเคราะห์สีดำ ติดตั้งเตา Induction พร้อมเครื่องดูดควัน และอ่างล้างจานมาให้
อ่างล้างจานพร้อมก๊อกน้ำจาก Hafele
และเตาปรุงอาหารจาก Hafele เป็นเตาขนาด 2 หัว
ติดตั้งมาพร้อมกับเครื่องดูดควันของ Hafele เช่นกัน
เรากลับออกมาจากห้องครัว มาดูส่วน Common Area กันต่อค่ะ
ทางโครงการจัดห้องตัวอย่างให้เป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ สามารถวางโซฟาขนาด 3 ที่นั่งได้แบบนี้ค่ะ เราสามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาดเล็กๆ แบบยาวเรียวแทนตำแหน่งของโต๊ะกาแฟ ใช้โซฟาเป็นเก้าอี้นั่งสำหรับรับประทานอาหารไปในตัวด้วยเลย หรือจะวางโซฟา Love Seat ขนาด 2 ที่นั่ง แล้ววางโต๊ะรับประทานอาหารและเก้าอี้เอาไว้ด้านข้างโซฟาก็ได้เช่นกัน
ฝั่งตรงข้ามกับโซฟาเป็นชั้นวางทีวี Built – in ที่ทางโครงการให้มากับตัวห้องเหมือนเดิม
ระยะดูทีวีของห้องนี้จะกว้างพอๆ กับห้องที่แล้วค่ะ ใช้ทีวีจอขนาด 47 นิ้วจะกำลังพอดีไม่ปวดตา
คราวนี้เราจะเข้าไปดูภายในห้องอเนกประสงค์ ตามด้วยห้องนอนและห้องน้ำปิดท้าย
ห้องอเนกประสงค์กั้นส่วนจาก Common Area ด้วยประตูบานเลื่อนกระจก 3 ตอน ข้อดีก็คือทำให้ส่วน Common Area สามารถรับแสงจากธรรมชาติได้ และทำให้ห้องดูโปร่งโล่งมากกว่าการกั้นด้วยผนังทึบไปเลย
พื้นที่ภายในห้องอเนกประสงค์มีขนาดกระทัดรัด เป็นขนาดห้องที่กำลังเหมาะกับการทำกิจกรรมต่างๆ เราสามารถจัดเป็น ห้องนั่งทำงาน – อ่านหนังสือ, ห้องเล่นโยคะ, ห้องนอนสำหรับรองรับแขก หรือจะทำเป็นห้องแต่งตัวเพิ่มอีก 1 ห้องก็ได้ค่ะ โดยห้องนี้จะเชื่อมต่อกับส่วนระเบียง
พื้นที่ระเบียงมีขนาดไม่ต่างจากห้องที่แล้วมากนัก สามารถใช้วางเครื่องซักผ้าและตากผ้าได้ (หากไม่ต้องการวางเครื่องซักผ้าเอาไว้ในครัว) และเป็นจุดที่ใช้แขวน Compressor เหมือนเดิมค่ะ
ตามด้วยห้องนอนและห้องน้ำ สังเกตเห็นว่าห้องน้ำจะมี 2 ประตู สามารถเข้าทางฝั่ง Common Area หรือเข้าทางฝั่งห้องนอนก็ได้ ซึ่งจุดนี้มีข้อดีตรงที่ เวลามีแขกมาที่ห้องแล้วต้องการจะเข้าห้องน้ำ แขกไม่จำเป็นต้องเดินผ่านห้องนอนของเราเลยค่ะ
ภายในห้องนอนถือว่ามีขนาดค่อนข้างกว้างขวางทีเดียวนะ ทางโครงการวางเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดมาให้ดูพื้นที่ใช้สอยแล้ว ก็สามารถทำได้ลงตัวค่ะ
ภายในห้องนอน ทางโครงการจะให้ฐานเตียงขนาด 5 ฟุตมาเหมือนเดิม พอวางแล้วก็ยังเหลือพื้นที่โดยรอบเตียงสามารถเดินผ่านได้สะดวก
พร้อมลิ้นชักสำหรับเก็บของใต้เตียง
ทางฝั่งขวาของเตียง ทางโครงการทำตู้เสื้อผ้า Built – in มาให้เรียบร้อยค่ะ ตู้เสื้อผ้าของห้องนี้จะมีหน้าบานเปิดกระจกสีชาดำ และมีลิ้นชักสำหรับเก็บของด้านในตู้ ซึ่งพื้นที่ด้านข้างเตียงก็ยังเหลือสำหรับวงบานเปิดของตู้นะ
พื้นที่ฝั่งปลายเตียง ทางโครงการทำชั้นวางทีวีรวมกับโต๊ะทำงานและโต๊ะเครื่องแป้งมาไว้ให้ดูเป็นไอเดีย
คราวนี้เราจะเข้าไปดูภายในห้องน้ำกันต่อค่ะ
ด้านในห้องน้ำจะเหมือนกับห้องที่แล้วทุกประการ แบ่งแยกโซนเปียก – โซนแห้งอย่างเรียบร้อยชัดเจน ที่พื้นปูด้วยกระเบื้องขนาด 30 x 30 ซม. สีเทา ที่ผนังกรุด้วยกระเบื้องขนาดเท่ากันแต่เป็นสีขาวค่ะ ส่วนสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำทั้งหมดจะเป็นของ Hafele
ระหว่างพื้นภายนอกและพื้นห้องน้ำจะทำธรณีสูงขึ้นมาเพื่อกันน้ำไหลย้อนให้
อ่างล้างมือเป็นอ่างฝังบนเคาน์เตอร์สำเร็จรูปทรงสี่เหลี่ยม ติดตั้งมาพร้อมกับก๊อกน้ำล้างมือรุ่นเดิม
แต่ที่พิเศษขึ้นมาก็คือ ห้องขนาด 1 Bedroom Plus ขึ้นไปจะได้ Smart Mirror มากับตัวห้องด้วย การใช้งานนั้นจะเหมือนกับ Tablet ทั่วไปที่เราสามารถใช้ดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นเกมส์ หรืออัพเดทข่าว โหลดแอพพลิเคชั่นอย่าง Line, Messenger, Instagram หรือ Facebook มาใช้งานก็ได้ค่ะ
ถัดมาเป็นโถสุขภัณฑ์ระบบ Dual Flush ติดตั้งมาพร้อมกับอุปกรณ์ประกอบการใช้งาน
ด้านในสุดเป็นโซน Shower ทางโครงการติดตั้งฉากกั้นอาบน้ำเป็นกระจก Tempered บานเปลือยมาให้เรียบร้อย ภายในติดตั้งชุด Hand Shower ให้ที่ผนัง พร้อมเจาะผนังเข้าไปทำชั้นวางสบู่ให้
ส่วนพื้นที่ยืนอาบน้ำก็มีขนาดกำลังพอเหมาะ ไม่แคบจนเกินไป
:::: ราคา (กรกฎาคม 2562) ::::
#เปิดจองครั้งแรก 31 ส.ค. นี้
พร้อมรับ Gift Voucher ใช้เป็นส่วนลดสูงสุด 300,000 .- * สำหรับเข้าจองในงาน!
ได้แล้ววันนี้ที่สำนักงานขาย https://bit.ly/2SCZrNm
“THE ORIGIN’’ 2 โครงการใหม่ทำเล “รัชดา – ลาดพร้าว”
ย่านไลฟ์สไตล์สุดฮิป ใกล้จุดตัด New Interchange #สายสีน้ำเงิน #สายสีเหลือง
ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษก่อนใคร! คลิก https://bit.ly/2JFJa7F
#TheOrigin #จัดจ้านย่านรัชดา #จัดจ้านย่านลาดพร้าว #จัดจ้านย่านอินเตอร์เชนจ์ #สู้ๆนะ #ใช้ชีวิตอย่างที่เชื่อ #LiveYourValue #EmphathyDesignthinking
***ข้อมูลราคา และโปรโมชั่นอาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดติดต่อสำนักงานขายเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
:::: สรุป ::::
ทำเลที่ตั้งโครงการ The Origin รัชดา – ลาดพร้าว เป็น Low rise Condominium ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 23 ใกล้แยกลาดพร้าว – รัชดา ถนนลาดพร้าวเป็นเส้นที่มีความเจริญและความอุดมสมบูรณ์สูงมาก ทั้ง 2 ฝั่งถนนจะมีทั้งออฟฟิศ, อาคารพาณิชย์, ธนาคาร, เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์, คอนโดมิเนียมทั้ง High rise และ Low rise และบ้านพักอาศัยดั้งเดิม ตอนนี้ลาดพร้าวก็เรียกได้ว่าเป็นย่าน Vertical Living Area อีก 1 ย่าน
ซึ่งทำเลนี้ถือว่าอยู่บนจุดศูนย์กลางของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสาธารณะระบบราง และ Lifestyle ที่มีครบหมดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร, Shopping Mall, Department Store, Hypermarket, โรงพยาบาล, โรงเรียนชื่อดัง และแหล่งงาน รวมถึงอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ ย่านรัชดาภิเษก – พระราม 9 ซึ่งเป็น CBD ใหม่ของกรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังจะมี Mega Project เกิดขึ้นในย่านนี้ ทั้งโครงการ Oasis Tower, Bang Sue Grand Station และ Mo Chit Complex ที่จะผลักดันให้ทำเลนี้มีมูลค่าสูงขึ้น กลายเป็น NCBD คาดการณ์ว่าเป็นทำเลที่สามารถลงทุนเพื่อสร้างผลกำไรได้ดี
การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว การเดินทางถือว่าสะดวก เพราะโครงการอยู่ใกล้กับแยกลาดพร้าว – รัชดา สามารถเข้า – ออกได้ทั้งจากฝั่งลาดพร้าวและรัชดาภิเษกเลย จากถนนลาดพร้าวจะสามารถเชื่อมต่อไปยังถนนใหญ่ได้อีกหลายสาย และตัวโครงการอยู่ใกล้จุดขึ้นทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งเชื่อมต่อกับทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษศรีรัช ไปได้ทั้งทางบางนาและชลบุรี ไม่ไกลกันก็มีจุดขึ้นทางด่วนรามอินทราอาจณรงค์ เป็นอีกตัวเลือกที่สามารถใช้ออกไปทางบางนาได้ หรือจะวิ่งขึ้นไปทางวัชรพลก็ได้ค่ะ การเดินทางบนเส้นลาดพร้าวถ้าจะให้เร็วก็ต้องรู้จักซอยในการลัดเลาะไปยังถนนเส้นต่างๆ ประกอบเอา เพราะถ้าวิ่งบนถนนใหญ่ตรงๆ เลยก็อาจจะใช้เวลานานเป็นชั่วโมงๆ เลย
การเดินทางโดยรถสาธารณะ ถือว่าสะดวกสบายมากเช่นกัน บริเวณหน้าโครงการมีรถแท็กซี่ มีวินมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านอยู่ตลอด และป้ายรถเมล์จะมีอยู่บริเวณหน้าปากซอยลาดพร้าว 23 เลย อีกทั้งตัวโครงการนั้นยังตั้งอยู่บนใจกลางของศูนย์กลางการเชื่อมต่อระบบราง ซึ่งตัวโครงการจะอยู่ใกล้กับ รถไฟฟ้า MRT สถานีลาดพร้าว ทางออกที่ 1 และ 4 จากโครงการเดินข้ามแยกรัชดา – ลาดพร้าวไป 450 เมตร ในอนาคตจะเป็นสถานี Interchange เชื่อมกับ สถานีรัชดาภิเษก ของ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วง ลาดพร้าว – พัฒนาการ จากตัวโครงการจะอยู่ห่างจากทางขึ้นสถานีเพียง 25 เมตรเท่านั้น ส่วน MRT พหลโยธิน ซึ่งห่างจาก สถานีลาดพร้าว เพียงสถานีเดียว ในอนาคตจะเชื่อมกับ สถานีห้าแยกลาดพร้าว ของ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วง หมอชิต – คูคต อีกด้วย
การออกแบบโครงการ และวัสดุ โครงการเป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น มี 1 อาคาร บนพื้นที่โครงการขนาด 1 – 3 – 28.25 ไร่ มีจำนวนเพียง 208 ยูนิต + 1 Shop ออกแบบมาอย่างหรูหราในสไตล์ Classic Heritage และได้แรงบันดาลใจการออกแบบดีเทลส่วนต่างๆ จากสถานีรถไฟ สร้างบรรยากาศและลูกเล่นออกมาดูดีทีเดียวค่ะ
ภายในโครงการมีห้องแบบ 1 Bedroom, 1 Bedroom Plus และ 2 Bedroom ขนาดเริ่มต้นที่ 24.5 – 54.5 ตร.ม. ตกแต่งแบบ Fully Fitted พร้อมเครื่องปรับอากาศ, Digital Door Lock ระบบ 1 Pass Password (Guest Pin) และระบบ Home Automation
มีการวางผังห้องแต่ละแบบที่น่าสนใจโดยนึกถึงผู้อยู่อาศัยที่เป็นคนยุคใหม่มากขึ้น อย่างห้อง 1 Bedroom ที่เราได้เข้าไปชมกันจะเป็นห้องที่โดดเด่นด้วย Smart Walk – in Closet ยาว 3 เมตร เน้นผู้อยู่อาศัยที่มีไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบการแต่งตัวเป็นพิเศษ หรือมีของค่อนข้างเยอะ โดยจะไม่เน้นการแบ่งส่วนของพื้นที่ Common Area และส่วนพักผ่อนหลับนอน แต่จะแบ่งส่วนครัวออกไปอย่างชัดเจนโดยให้เป็นครัวปิดพร้อมติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการประกอบอาหารพร้อม
ส่วนห้อง 1 Bedroom Plus ก็จะเป็นห้องที่มีพื้นที่อเนกประสงค์เพิ่มขึ้นมาจากฟังก์ชั่นหลักๆ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์หรืองานอดิเรกของผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้วัสดุที่ได้มากับตัวห้องก็ถือว่าได้มาตรฐานดีค่ะ มีดีเทลที่น่าสนใจตรงที่ให้ USB Outlet ตามจุดต่างๆ, แท่นชาร์จแบบ Wireless ตรงข้างเตียงนอน และ Smart Mirror ในห้องน้ำ (1 Bedroom Plus ขึ้นไป) เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยรุ่นใหม่ได้ดีมากยิ่งขึ้น
สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบรักษาความปลอดภัย มีมาให้อย่างครบครันค่ะ ทั้ง Visitor Lobby Hall, 24 hr. Co – working Space, Mailbox & Smart Locker, Self – Storage, Sharing Service, Garden, Swimming Pool, Fitness, Lounge, Private Room, Meeting Room, Multi – function Studio, Office Supply, Roof Garden และ Yoga Area ที่ตกแต่งมาอย่างหรูหราสวยงามในสไตล์ Classic Heritage บางส่วนใช้ดีเทลจากสถานีรถไฟแบบตะวันตก ทำให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ก็ยังมี ลิฟต์โดยสารระบบล็อคชั้น 2 ตัว คิดเป็นสัดส่วน 104 : 1 ถือว่าได้มาตรฐาน , ที่จอดรถ 61% รวม Auto Parking, Access Card Control, CCTV, รปภ. 24 ชม. และบริการแม่บ้านทำความสะอาดห้องที่ผ่านการเทรนมาจากโรงแรมดุสิตธานี เดือนละ 1 ครั้งเป็นเวลา 1 ปี นับว่าโครงการให้มาเยอะพอสมควรเลยค่ะเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิตภายในโครงการ
:::: คะแนน ::::
ทำเลที่ตั้งโครงการ | 8.0 | อยู่ในซอยลาดพร้าว 23 ใกล้ถนนลาดพร้าวและถนนรัชดาภิเษก ใกล้แยกรัชดา – ลาดพร้าว ถือเป็นทำเลที่ดีทีเดียว |
การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว | 7.5 | สามารถเดินทางได้สะดวก แต่รถจะติดมากอยู่นะ ต้องหาซอยคอยลัดเลาะเอา |
การเดินทางโดยรถสาธารณะ | 8.7 | วินมอเตอร์ไซค์และรถแท็กซี่ก็สามารถหาได้ตลอด ป้ายรถเมล์ก็อยู่ไม่ไกล แถมยังอยู่ใกล้ MRT สถานีลาดพร้าวในระยะ 450 เมตร และทางเชื่อมตัวสถานีรัชดาภิเษก (รถไฟฟ้าสายสีเหลือง) เพียง 25 เมตรเท่านั้น |
บ้านและวัสดุ | 7.9 | ห้องออกแบบมาได้ดีค่ะ มีความลงตัวของฟังก์ชั่น วัสดุที่ใช้สวยงามได้มาตรฐาน |
สิ่งอำนวยความสะดวก | 8.2 | สิ่งอำนวยความสะดวกให้มาเยอะทีเดียวค่ะเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิตภายในโครงการ ถือว่าเหมาะสม ขนาดแต่ละส่วนอาจไม่ใหญ่มาก จากภาพแล้วดูน่าใช้งานดี |
ความคุ้มค่ากับราคา | 8.0 | โครงการเหมาะสำหรับครอบครัวขนาด 1 – 3 คน เงินเหลือพอซื้อเฟอร์เพิ่มอีกนิดหน่อย ชอบความสะดวกสบาย ต้องการเดินทางด้วยรถสาธารณะสะดวก |
คะแนนรวมเฉลี่ย | 8.05 | ดีมาก |
:::: สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ::::
CALL CENTER : 020 300 0000
WEBSITE : https://bit.ly/2JFJa7F
หากเพื่อนๆเห็นว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด Like เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงาน ขอบคุณค่ะ
และมีความคิดเห็นหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวโครงการ สามารถ Comment ได้ที่ด้านล่างของรีวิวค่ะ
แสดงความคิดเห็น